แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การสละสิทธิไถ่ถอนการขายฝาก ไม่ใช่เป็นการย้ายหรือซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นหรือแกล้งให้ตนเป็นหนี้ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์เอาโฉนดที่ ๕๔๗๗ กับเรือนเลขที่ ๒๗ ปลูกในโฉนดที่ ๑๒๘๙ ให้โจทก์ยึดเป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ขอกู้เงินโจทก์เพิ่มอีกโดยหลอกลวงว่า บ้านเลขที่ ๒๗ เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ โดยสมบูรณ์ไม่มีภารติดอัน ยอมให้โจทก์ยึดเป็นประกัน โจทก์หลงเชื่อจึงให้กู้ไป ต่อมาโจทก์จึงทราบว่าความจริงเรือนเลขที่ ๒๗ พร้อมโฉนด ๑๒๘๙ นั้น จำเลยที่ ๑ ขายฝากจำเลยที่ ๒ ไว้แล้วก่อนวันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงินโจทก์ถึง ๒ เดือนเศษ เมื่อโจทก์ทวงถามให้ชำระเงินกู้ จำเลยที่ ๑ กลับสมคบกับจำเลยที่ ๒ แกล้งจดทะเบียนขายฝากเรือนและที่ดินเพิ่มราคาขึ้น และเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน จำเลยทั้งสองสมคบร่วมกัน โดยจำเลยที่ ๑ ลอบไปจดทะเบียนปลดเงื่อนไขสิทธิไถ่การขายฝากอันเป็นการโอนและสละสิทธิไถ่ถอนการขายฝากที่ดินและเรือน การกระทำของจำเลยก็เพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๑, ๓๕๐, ๑๘๗, ๘๓, ๘๖
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลจังหวัดสมุทรปราการเห็นว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์โดยปกปิดความจริงที่ว่าบ้านหลังที่นำประกันเงินกู้ได้เอาไปขายฝากจำเลยที่ ๒ ก่อนแล้ว เป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อให้กู้เงินเพิ่ม ครั้นรู้ตัวว่าถูกโจทก์ฟ้องคดีแพ่ง จำเลยที่ ๑ ก็ยอมปลดเงื่อนไขสิทธิไถ่การขายฝาก การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการฉ้อโกงและฉ้อเจ้าหนี้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่พอฟังว่าสมคบหรือสมรู้กับจำเลยที่ ๑ พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๓๕๐ ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๔๑ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก ๑ ปี ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อหาฐานฉ้อโกงเจ้าหนี้ตามมาตรา ๓๕๐ นั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ ตั้งแต่วันขายฝากแล้ว การที่จำเลยที่ ๑ ไปจดทะเบียนสละสิทธิไถ่คืน ไม่เรียกว่าเป็นการยักย้ายทรัพย์หรือซ่อนเร้นหรือโอนทรัพยืให้ผู้อื่น เพราะสิทธิเรียกร้องไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากไม่ใช่ทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ หากจะถือว่าการสละสิทธิเรียกร้องเป็นการโอน จำเลยที่ ๑ ก็โอนสิทธิเรียกร้องไปเท่านั้นไม่ใช่โอนทรัพย์ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ผิดตามมาตรา ๓๕๐ พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๑ มีผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ จำคุก ๖ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ นี้ จะต้องมีการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังที่มาตรา ๓๕๐ ระบุไว้ คือ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่น ซึ่งทรัพย์ใด หรือแกล้งให้ตนเองเป็นหนี้อันไม่เป็นจริง การสละสิทธิไถ่ถอนการขายฝากไม่ใช่เป็นการย้ายหรือซ่อนเร้น และไม่เป็นการโอนให้แก่ผู้อื่น และไม่ใช่เป็นการแกล้งให้ตนเองเป็นหนี้ ฉะนั้น การสละสิทธิไถ่ถอนการขายฝากจึงไม่อาจเป็นความผิดตามมาตรา ๓๕๐ ได้
พิพากษายืน