แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้คำประกันจะนำพะยานบุคคลมาลืบว่าที่ตนเข้าทำสัญญาค้ำประกันโดยตกลงกับเจ้าหนี้ไปกระทำการอย่างใดอย่าหนึ่ง แล้วเจ้าหนี้ผิดสัญญาแต่ข้อตกลงนั้นไม่ปรากฏในสัญญาค้ำประกันดังนี้ศาลจะรับฟังไม่ได้ เพราะเป็นการสืบแก้ไขเพิ่มเติมเอกสาร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยที่ ๑ ผู้กู้และจำเลยที่ ๒-๓ ผู้ค้ำประกัน
ฝ่ายจำเลยที่ ๒-๓ ต่อสู้และนำพะยานบุคคลมาสืบว่าจำเลยเข้าค้ำประกันโดยพูดคุยตกลงกับโจทก์ให้โจทก์คำร้องขอถอนคำจ้อที่ขอให้ศาลสั่งถอดถอนจำเลยที่ ๑ จากเป็นผู้จัดการมฤดก โจทก์ยอมตกลง จำเลยจึงเข้าค้ำประกัน เมื่อทำสัญญาค้ำประกันแล้วโจทก์ไม่ถอนคำขอที่ขอให้ศาลสั่งถอดถอนจำเลยที่ ๑ จากเป็นผู้จัดการมฤดก
ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าจำเลยที่ ๒-๓ เข้าทำสัญญาค้ำประกันเพราะถูกโจทก์หลอกลวง จำเลยได้บอกล้วงสัญญานี้แล้ว จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินและยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒-๓
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อความที่จำเลยนำสืบนั้นเป็นเงื่อนไขแห่งสัญญา เมื่อไม่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาจำเลยจะนำสืบไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๒-๓ เป้นสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒-๓ เป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยนำสืบได้ ไม่เป็นการสืบแก้ไขเพิ่มเติมเอกสาร เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาจึงมาฟ้องจำเลยที่ ๒-๓ ไม่ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อนำสืบของจำเลยที่ ๒-๓นั้นเป็นการสืบเพิ่มเติมข้อความในสัญญาค้ำประกัน เป็นการต้องห้ามตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๙๔(ข) จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๒-๓ รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน