แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ความประสงค์เดิมของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องการกู้เงินโดยนำรถยนต์ไปเป็นประกัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยินยอมทำนิติกรรมตามความประสงค์ของโจทก์ คือจำเลยที่ 2 โอนขายรถยนต์ให้โจทก์ และจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์ เพื่อจำเลยที่ 2 จะได้เงินตามที่ต้องการ อันเป็นวิธีการทางการค้าของโจทก์ก็แสดงว่าจำเลยทั้งสองเปลี่ยนเจตนาเดิมมายินยอมผูกพันตน ตามสัญญาเช่าซื้อโดยสมัครใจสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงมิใช่นิติกรรมอำพราง
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่ง จึงนำบทบัญญัติลักษณะเช่ามาใช้บังคับด้วยเมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับลงตั้งแต่วันที่รถยนต์สูญหายไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อเฉพาะงวดที่รถยนต์ยังไม่สูญหาย และไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายที่โจทก์อาจนำรถยนต์คันนี้ไปแสวงหาประโยชน์ได้อีก แต่เมื่อสัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากเกิดการเสียหายขึ้นแก่รถยนต์ไม่ว่าด้วยประการใดๆ ผู้เช่าซื้อยินยอมชดใช้ค่าหรือราคารถยนต์ให้เจ้าของ จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดชดใช้ราคารถยนต์แก่โจทก์
ส่วนราคารถยนต์นั้นสมควรกำหนดตามราคาที่จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้โดยให้หักค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระไปแล้วออก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันหนึ่งไปจากโจทก์เป็นราคา ๘๔,๕๐๔ บาท ตกลงแบ่งชำระค่าเช่าซื้อเป็น ๒๔ งวด หากผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ๒ งวดติดต่อกันให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันสิ้นสุด ผู้เช่าซื้อต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้โจทก์ ถ้าเกิดการเสียหายขึ้นแก่รถยนต์ไม่ว่าด้วยประการใด ๆ จำเลยที่ ๑ ยินยอมใช้ค่าหรือราคารถยนต์ให้โจทก์ ในการนี้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวกับจำเลยที่ ๓ หากมีการเสียหายหรือสูญหายแก่รถยนต์คันดังกล่าวจำเลยที่ ๓ ยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงินไม่เกิน ๗๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ ๔ งวด หลังจากนั้นผิดนัดติดต่อกัน และเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๐ รถยนต์ดังกล่าวได้ถูกคนร้ายลักไปโจทก์ได้บอกกล่าวเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และบอกกล่าวให้จำเลยที่ ๓ รับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยทั้งสามทราบแล้วแต่ไม่ชำระเงินให้ ขอให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะลูกหนี้ร่วมส่วนจำเลยที่ ๓ ต้องชดใช้เงินให้โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยจำนวน ๗๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑เป็นนิติกรรมอำพราง เจตนาที่แท้จริงของนิติกรรมดังกล่าวเป็นสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ กล่าวคือเดิมรถยนต์คันพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ต้องการกู้ยืมเงินโจทก์โดยเอารถยนต์คันดังกล่าวเป็นประกัน เจ้าหน้าที่ของโจทก์แนะนำให้กู้โดยวิธีให้จำเลยที่ ๒ โอนรถยนต์ให้โจทก์ แล้วชำระหนี้เงินกู้ด้วยวิธีเช่าซื้อรถยนต์คืนไปโดยถือเอาเงินชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงินผ่อนชำระหนี้เงินกู้ จำเลยที่ ๒ ตกลงและทำหลักฐานโอนขายรถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์แล้วจำเลยที่ ๒ ขอแรงให้จำเลยที่ ๑ ลงชื่อเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวจากโจทก์มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน และโจทก์ยังให้จำเลยที่ ๒ เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้แก่จำเลยที่ ๓ โดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ การชำระหนี้เงินกู้ในรูปค่าเช่าซื้อ การชำระเบี้ยประกันภัย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ชำระ จนกระทั่งรถถูกคนร้ายลักไปโดยจำเลยที่ ๑ มิได้เกี่ยวข้องกับรถคันดังกล่าวเลย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ลงชื่อในหนังสือสัญญาค้ำประกันขณะที่ยังไม่มีการกรอกข้อความ โจทก์กรอกข้อความเองในภายหลัง โดยจำเลยที่ ๒ ไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วย สัญญาค้ำประกันจึงไม่มีผลบังคับ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า หากรถยนต์ที่เอาประกันสูญหายหรือเสียหายจำเลยที่ ๓ จะใช้ค่าเสียหายหรือสูญหายเท่าที่มีส่วนได้เสีย กล่าวคือจะต้องนำจำนวนเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์รับไปแล้ว และค่าเสื่อมราคาของรถมาหักออกจากเงินที่เอาประกันไว้ ๗๐,๐๐๐ บาทก่อน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน ๓๑,๒๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หากไม่สามารถส่งมอบคืนได้ให้ใช้ราคา ๘๔,๕๐๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย แต่ถ้าจำเลยที่ ๓ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ก่อนเป็นจำนวนเท่าใด ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ชำระแต่จำนวนที่ยังขาด ให้จำเลยที่ ๓ ใช้ค่าเสียหาย ๗๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ต้องการกู้เงินโจทก์โดยนำเอารถยนต์คันที่เช่าซื้อไปเป็นหลักประกัน โดยจำเลยที่ ๒ ไปติดต่อกับนายมานะผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์ นายมานะแนะนำให้กระทำโดยวิธีให้จำเลยที่ ๒ โอนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ แล้วให้จำเลยที่ ๒ หาคนมาทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์ จำเลยที่ ๒ จึงได้กระทำตามที่นายมานะแนะนำ โดยทำการโอนรถคันพิพาทให้โจทก์และนำจำเลยที่ ๑ ไปทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันนี้จากโจทก์ วิธีการดังกล่าวมาเป็นวิธีทางการค้าของโจทก์ แม้ความประสงค์เดิมของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นเรื่องต้องการกู้เงินโดยนำรถไปเป็นประกัน แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ยินยอมทำพินัยกรรมตามความประสงค์ของโจทก์เพื่อที่จำเลยที่ ๒ จะได้เงินตามที่ต้องการ ก็แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เปลี่ยนเจตนาเดิมมายินยอมผูกพันตนตามสัญญาเช่าซื้อที่ทำขึ้นกับโจทก์โดยสมัครใจ สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมิใช่นิติกรรมอำพราง
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่ง ดังนั้นการบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ ลักษณะเช่าซื้อนั้น จะต้องนำลักษณะเช่าทรัพย์ในบรรพเดียวกันมาใช้บังคับด้วย เมื่อทางนำสืบของโจทก์จำเลยรับกันว่ารถยนต์คันพิพาทสูญหายไปตั้งแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๐ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๖๗ ซึ่งมีผลให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ระงับลงตั้งแต่วันที่รถยนต์พิพาทสูญหายไป จำเลยที่ ๑ จึงมีหน้าที่รับผิดต่อโจทก์ก็เฉพาะแต่ค่าเช่าซื้อประจำงวดเดือนธันวาคม ๒๕๑๙ และมกราคม ๒๕๒๐ ที่ค้างชำระรวม ๒ งวดเท่านั้น แต่เนื่องจากตามสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงกันไว้ว่า “หากเกิดการเสียหายขึ้นกับรถยนต์คันที่เช่าซื้อดังกล่าวภายในกำหนดระยะเวลาที่ยังเช่าซื้ออยู่ ไม่ว่าจะด้วยประการใด ๆ ก็ตาม…… ผู้เช่าตกลงยินยอมชดใช้ค่าหรือราคารถยนต์ให้กับเจ้าของตามสัญญาทุกประการ” จำเลยที่ ๑ จึงมีความผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อที่จะต้องรับผิดชดใช้ราคารถยนต์คันที่สูญหายไปให้โจทก์ ส่วนค่าเช่าซื้อสำหรับงวดภายหลังที่รถยนต์พิพาทสูญหายไปคืองวดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์๒๕๒๐ เป็นต้นไป รวมทั้งค่าเสียหายที่โจทก์อาจนำรถยนต์คันนี้ไปแสวงหาประโยชน์ให้เช่าได้อีกนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ ๑ เพราะสัญญาเช่าซื้อได้ระงับไปก่อนแล้วเพราะรถยนต์พิพาทสูญหายไป
ส่วนค่าเสียหายศาลฎีกาวินิจฉัยว่า รถยนต์พิพาทเป็นรถยนต์ใช้แล้วและจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ยังนำไปใช้หลังจากทำสัญญาเช่าซื้ออีกประมาณ ๖ เดือน ถึงหากจะสามารถติดตามรถยนต์คืนมาได้ ก็คงไม่อาจขายได้ในราคาเท่ากับที่ให้จำเลยที่ ๑เช่าซื้อไป จึงเห็นสมควรกำหนดราคาที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชดใช้โดยให้หักค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ ๑ ชำระไปแล้วออกเสียจากราคาที่เช่าซื้อ
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันชดใช้ราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์ ๗๐,๔๒๐ บาท ให้จำเลยที่ ๓ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ ๗๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์บังคับคดีเอากับจำเลยที่ ๓ ก่อน หากบังคับเอาจากจำเลยที่ ๓ ได้ไม่พอชำระหนี้จำนอง ๗๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์บังคับเอาจากจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จนกว่าจะครบหนี้ ๗๐,๔๒๐ บาท