คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1576/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถยนต์ประมาทชนผู้ตาย เป็นเหตุให้นาฬิกา แว่นตา ที่ติดตัวผู้ตายสูญหายไปนั้น จำเลยต้องชดใช้แทนให้
ค่าปลงศพ ค่าใช้ราคาทรัพย์และค่าขาดไร้อุปการะ เป็นค่าสินไหมทดแทนที่ต้องชดใช้ด้วยเงินการที่ศาลกำหนดจำนวนให้จำเลยใช้ มิใช่ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายตั้งแต่ศาลพิพากษา แต่เป็นการกำหนดค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับความเสียหายมา แล้วตั้งแต่วันจำเลยทำละเมิดรถยนต์ประมาทชนผู้ตายตาย จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงิน ที่จะต้องชดใช้ตั้งแต่วันทำละเมิด เพราะถือว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันนั้นแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑-๒ เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการเดินรถรับส่งคนโดยสาร จำเลยที่ ๑-๒-๓ ร่วมกันมีรถยนต์โดยสาร เลขทะเบียน ส.ป. ๑๐๐๖๑ เลขหมายประจำรถ ๒๕๕ ใช้เดินรับส่งคนโดยสารประจำทางสายกรุงเทพฯ สมุทรปราการ หาประโยชน์ร่วมกัน โดยจำเลยที่ ๔ เป็นลูกจ้างทำหน้าที่เป็นผู้ขับขี่ เมื่อ ๒๑ เมษายน ๒๕๐๒ จำเลยที่ ๔ ได้ขับรถยนต์ดังกล่าวตามทางการที่จ้างและเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑-๒-๓ ด้วยความประมาทชนรถจักรยานสองล้อซึ่งนายวิรัตน์ขี่สวนทางมา เป็นเหตุให้นายวิรัชน์ตกจากรถ กระโหลกศีรษะแตกถึงแก่ความตาย ศาลทหารกรุงเทพ ฯ พิพากษาจำคุก จำเลยที่ ๔ คดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว นายวิรัชน์ เป็นบุตรของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย คือ ค่าทำศพ ทรัพย์สูญหายในที่เกิดเหตุ ค่าขาดอุปการะ รวมทั้งสิ้น ๑๐๖,๖๒๐ บาท ขอให้จำเลยทั้ง ๔ ร่วมกันรับผิด พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งแต่วันฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า มิได้ร่วมมีรถยนต์กับจำเลยที่ ๒-๓ รถยนต์คันนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๓ แต่ผู้เดียว ยังไม่ได้ตกลงทำสัญญาเดินรถร่วมกันให้ถูกต้อง จำเลยที่ ๔ ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ค่าเสียหายเรียกมากเกินฐานะ
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า เป็นเจ้าของรถยนต์จริง จำเลยได้มอบให้จำเลยที่ ๒ ไปจัดการ จำเลยที่ ๔ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ จำเลยไม่ต้องรับผิด โจทก์เสียหายไม่ถึงเท่าที่ฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยทั้ง ๔ ร่วมกันรับผิดใช้ค่าปลงศพผู้ตาย ๕,๐๐๐ บาท ค่ารถจักรยานที่ถูกชนเสียหาย ๙๐๐ บาท ค่าขาดอุปการะ ๔๐,๐๐๐ บาท รวม ๔๕,๔๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป นับแต่วันพิพากษาจนกว่าจำเลยจะใช้เงินเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่าไม่ต้องรับผิด
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นาฬิกาโมวาโด และ แว่นตาของผู้ตายได้สูญหายไปด้วยจริง ควรให้จำเลยใช้ค่าของ ๒ สิ่งนี้อีก ๑,๗๕๐ บาท จึงพิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหาย ให้จำเลยทั้ง ๔ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ๔๗,๖๕๐ บาทให้โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว มีเอกสารสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑-๒-๓ เป็นทอด ๆ คือ จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นเจ้าของรถทำสัญญาโอนรถคันเกิดเหตุให้จำเลยที่ ๒ และยินยอมให้จำเลยที่ ๒ โอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญาให้ผลประโยชน์ตอบแทนระหว่างจำเลยที่ ๒ กับจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ จะโอนกรรมสิทธิ์คืนให้เมื่อจำเลยที่ ๓ ประสงค์ แล้วจำเลยที่ ๒ เอารถคันนี้มาทำสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ ใช้รถยนต์นี้การเดินรับส่งผู้โดยสารมีผลประโยชน์ตอบแทน โดยเฉพาะสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น ปรากฎชัดเจนว่า โอนรถให้จำเลยที่ ๑ ใช้เป็นรถประจำทางวิ่งในเส้นทางสาย ๕๑ และจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จ่ายผลประโยชน์ให้จำเลยที่ ๒ตามวิธีที่ระบุไว้ รถคันนี้ได้ใช้ชื่อและเครื่องหมายของบริษัทจำเลยที่ ๑ ที่ตัวรถ ขณะเกิดเหตุรถยนต์คันนี้ก็เดินในเส้นทางสัมปทานของจำเลยที่ ๑ ดังนี้ ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้มีและใช้รถคันเกิดเหตุในกิจการของจำเลยที่ ๑ แล้ว กิจการนี้เป็นกิจการหารายได้ของจำเลยที่ ๑๔ คนขับรถปฏิบัติหน้าที่ในกิจการของจำเลยที่ ๑ โดยมีสิจ้าง แม้จำเลยที่ ๑ จะจ่ายเงินให้จำเลยที่ ๒ ตามสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เงินที่จ่ายนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเงินสินจ้างในการขับรถร่วมอยู่ด้วย ดังนี้ถือว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนายจ้าง จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดของจำเลยที่ ๔ ซึ่งขับรถชนบุตรโจทก์ ในระหว่างขับรถส่งคนโดยสารในกิจการของจำเลยที่ ๑
เรื่องค่าเสียหายนั้น ศาลฎีกาเชื่อว่า สิ่งของที่ติดตัวผู้ตายไปในขณะถูกรถชนมี ปากกา แว่นตา และนาฬิกาติดตัวไปด้วย และสูญเสียไปจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ใช้ค่าของ ๒ สิ่ง (นาฬิกา แว่นตา) เพิ่มขึ้นนั้นชอบแล้ว
สำหรับสิทธิเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยนั้น โจทก์มีสิทธิเรียกได้นับฎีกาที่ ๑๗๔๒/๒๔๙๙ และ ๒๙๒/๒๕๐๒ และศาลฎีกาเคยพิพากษาให้ใช้ค่าขาดไร้อุปการะในอนาคตเป็นเวลา ๑๔๐ ปีมาแล้ว นัยฎีกาที่ ๒๙๒/๒๕๐๒ ,๗๙๘/๒๕๐๒ เมื่อวินิจฉัยถึงพฤติการณ์ในปัจจุบันที่บุตรผู้ตายอุปการะมาแล้ว เห็นควรกำหนดเพิ่มขึ้นให้จำเลยทั้ง ๔ ใช้ ๕๐,๐๐๐ บาท
ส่วนดอกเบี้ย โจทก์ฎีกาให้จำเลยใช้ตั้งแต่วันทำละเมิด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้ในมูลละเมิดไม่ใช่หนี้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ จึงต้องคิดให้ตั้งแต่ศาลพิพากษาให้ใช้นั้น สำหรับคดีนี้โจทก์เรียกร้องค่าปลงศพ ค่าใช้ราคาทรัพย์ และค่าขาดไร้อุปการะ เป็นค่าสินไหมทดแทนที่ต้องชดใช้ด้วยเงิน และศาลที่กำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยใช้ มิใช่ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายตั้งแต่วันพิพากษา เป็นแต่กำหนดค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับความเสียหายมาแล้วตั้งแต่วันทำละเมิด กฎหมายบัญญัติให้ถือว่า จำเลยผิดนัดตั้งแต่ทำละเมิด จึงต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องชดใช้ตั้งแต่วันทำละเมิด แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้ใช้ดอกเบี้ยแต่วันฟ้อง จะฎีกาขอให้ใช้ตั้งแต่วันทำละเมิดเกินคำขอในฟ้องไม่ได้ คงได้เท่าที่ขอตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้ง ๔ ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ ๕๗,๖๕๐ บาทกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งนับแต่วันฟ้อง

Share