คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1575/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรม บุตรทุกคนของเจ้ามรดกได้ตกลงขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมรดกมีหลักฐาน น.ส.3 ก. ให้แก่โจทก์ โดยให้ ห. บุตรคนหนึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายในฐานะผู้ขาย โจทก์ได้ชำระเงินงวดสุดท้ายในวันทำสัญญาและบุตรของเจ้ามรดกทุกคนได้มอบที่ดินพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองตลอดมา ดังนี้ถือว่าบุตรของเจ้ามรดกทุกคนได้ขายและสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว แม้ภายหลังจากทำสัญญาฉบับแรกโจทก์และบุตรเจ้ามรดกบางคนจะทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันอีกฉบับหนึ่ง โดยมีข้อความว่าจะจัดการโอนทะเบียนที่ดินพิพาทให้แก่กันเมื่อทายาทได้รับมรดกที่ดินตามกฎหมายแล้ว ก็เป็นเรื่องประสงค์ให้มีหลักฐานทางทะเบียนภายหลังที่ได้โอนสิทธิครอบครองกันแล้วเท่านั้น จะถือว่าไม่ได้สละเจตนาครอบครองหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางหนม สีหวงษ์ มารดาจำเลยได้กู้เงินโจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท ต่อมานางหนมถึงแก่กรรม บุตรของนางหนมรวมทั้งจำเลยได้ตกลงขายที่ดินเนื้อที่ ๑๑ ไร่ ๑ งาน อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินซึ่งเป็นมรดกของนางหนมให้แก่โจทก์ในราคา ๓๘,๕๐๐ บาท โดยหักหนี้เงินกู้ที่นางหนมกู้จากโจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้ชำระราคาส่วนที่เหลือให้แก่นายหอมสวรรค์ สีหวงษ์ บุตรของนางหนมซึ่งเป็นตัวแทนของทายาทนางหนมรับไปแล้ว และนายหอมสวรรค์ได้ทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ แล้วโจทก์เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปีแล้ว ต่อมาจำเลยซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของนางหนมตามคำสั่งของศาลไม่ยอมโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวดังกล่าว ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ถ้าไม่โอนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยและทายาทอื่นของนางหนมไม่เคยมอบให้นายหอมสวรรค์เป็นตัวแทนขายที่ดินและรับเงินจากโจทก์ โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ โดยเช่าจากนางกองสี สีหวงษ์ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครอง ต่อมานางกองสีได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ โจทก์ไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางหนมจึงฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์และขับไล่โจทก์กับบริวารออกจากที่ดินพิพาทห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางหนมกู้เงินจากโจทก์และมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย เมื่อนางหนมถึงแก่กรรมแล้วจำเลยและพี่-น้องทุกคนได้ตกลงขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์โดยมอบให้นายหอมสวรรค์ทำสัญญาซื้อขาย รับเงินที่เหลือและมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามฟ้อง โจทก์จึงครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของตั้งแต่วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ ตลอดมา โจทก์ไม่เคยเช่าที่ดินพิพาทจากนางกองสีที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางหนม สีหวงษ์ โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ และให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนางหนม สีหวงษ์ และนางหนมมีบุตรรวม ๖ คนโดยเกิดกับสามีคนแรก ๓ คน คือนางกองสี สีหวงษ์ จำเลย และนางทองพิน สีหวงษ์ และเกิดกับสามีคนหลัง ๓ คน คือ นายหอมสวรรค์ สีหวงษ์ นายหาญ สีหวงษ์ และนางโหรี สีหวงษ์ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๒๑ นางหนมได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท กำหนดชำระเงินคืนภายในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๒ ปรากฏตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.๑ นางหนมถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๑ นายหอมสวรรค์ ได้ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๑ ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๖๑๖/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๒๖ นายหอมสวรรค์ นายหาญ และนางโหรี ได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์อีกปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๒ จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางหนมตามคำสั่งของศาลในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ และได้จัดการโอนใส่ชื่อจำเลยใน น.ส.๓ ก. ของที่ดินซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วย ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางหนม ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๑ โจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาท ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกามีว่าบุตรของนางหนมทุกคนได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยสละสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานและนำนายหอมสวรรค์มาเบิกความประกอบว่า หลังจากนางหอมถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ แล้ว บุตรทุกคนของนางหนมได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยให้นายหอมสวรรค์เป็นผู้ลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทในฐานะผู้ขายตามเอกสารหมาย ล.๑ ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๖๑๖/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น โจทก์ได้ชำระเงินงวดสุดท้าย จำนวน ๑๗,๕๐๐ บาทให้ไปแล้วในวันทำสัญญาและบุตรทุกคนของนางหนมได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เข้าทำประโยชน์อย่างเป็นเจ้าของ ยิ่งกว่านี้โจทก์ยังนำนายทองอ่อน สีหวงษ์ มาเบิกความยืนยันประกอบว่า เป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยายในสัญญาดังกล่าวและเป็นผู้ไปนำรังวัดที่ดินพิพาทในเดือน ๖ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งในขณะนั้นบุตรของนางหนมไปด้วยกันทุกคน โจทก์เข้าทำประโยชน์โดยทำนาในที่ดินพิพาทในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ตลอดมาจนปัจจุบัน ศาลฎีกาเห็นว่า นายทองอ่อนเป็นผู้ใหญ่บ้านท้องที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดจึงเชื่อว่านายทองอ่อนเบิกความไปตามความจริงโดยมิได้เข้าข้างฝ่ายใด ทั้งต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ นายหอมสวรรค์ นายหาญ และนางโมรี บุตรของนางหนมยังได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์อีก ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๒ ซึ่งในสัญญาดังกล่าวมีข้อความว่าได้แสดงเจตนาขาย ทั้งสละสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นการยืนยันเจตนาเดิมที่ได้ทำสัญญาซื้อขายไว้แต่แรก ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าบุตรของนางหนมทุกคนได้ขายที่ดินพิพาทและสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว แม้สัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.๒ จะมีข้อความต่อไปว่าจะจัดการโอนทางทะเบียนที่ดินพิพาทให้แก่กันเมื่อทายาทได้รับมรดกที่ดินตามกฎหมายแล้วก็เป็นเรื่องประสงค์ให้มีหลักฐานทางทะเบียนภายหลังที่ได้โอนสิทธิครอบครองกันแล้วเท่านั้น จะฟังว่าไม่ได้สละเจตนาครอบครองหาได้ไม่ ที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากนางกองสี ทำนานั้นเป็นแต่เพียงกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีสัญญาเช่ามาแสดง ทั้งยังปรากฏจากเบิกความของจำเลยว่า โจทก์เป็นคนมีฐานะดี มีเงินมากและมีนามากจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากนางกองสีทำนาดังที่จำเลยนำสืบ หลังจากนางหนมถึงแก่กรมแล้วไม่มีทายาทคนใดของนางหนมเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เอกสารหมาย จ.๓,จ.๔ ตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบคอรบที่ดินพิพาทแล้ว พยานจำเลยที่นำสืบไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share