คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1573/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 ถือเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งให้กักขังจำเลยไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น จึงกักขังจำเลยแทนค่าปรับได้เพียง 1 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 30 วรรคแรก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กักขังจำเลย 2 ปี แทนค่าปรับ 200,000 บาท จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (ที่ถูกมาตรา 15 วรรคสาม (2)), 66 วรรคสอง จำคุก 16 ปี และปรับ 400,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี และปรับ 200,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าสมควรลงโทษจำเลยสถานเบากว่าที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นับเป็นความผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้สังคมเสื่อมทรามลงและยังบ่อนทำลายสถาบันครอบครัวและวัฒนธรรมอันดีงามของชาติเป็นภัยร้ายแรงที่แพร่ระบาดในหมู่เยาวชนที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนตลอดจนประชาชนทั่วไปที่อยู่ในวัยทำงาน ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งรัฐได้พยายามประชาสัมพันธ์ทางสื่อประเภทต่าง ๆ ให้ประชาชนทราบและตระหนักถึงพิษภัยของยาเสพติดให้โทษตามที่กล่าวมาแล้วอยู่เสมอ แต่จำเลยก็มิได้นำพา กลับมากระทำความผิดในคดีนี้โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติและสังคมส่วนรวม ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้มีจำนวน 800 เม็ด น้ำหนัก 71.64 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 13.708 กรัม หากแพร่ระบาดสู่ประชาชน ย่อมก่อให้เกิดอันตรายแก่สังคมเป็นอย่างยิ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกและโทษปรับแก่จำเลยมานั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เกี่ยวกับการบังคับชำระค่าปรับจากจำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ถือเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งให้กักขังจำเลยไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น หากจะกักขังจำเลยแทนค่าปรับก็กักขังได้เพียง 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30 วรรคแรก แต่ตามหมายจำคุกและกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกา ฉบับลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กักขังจำเลย 2 ปี แทนค่าปรับ 200,000 บาท ซึ่งเป็นการมิชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังไม่เกิน 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share