แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์โอนที่ดินส่วนของโจทก์ให้จำเลยครอบครองแทนแม้จำเลยจะนำที่ดินพิพาทไปขอออก น.ส.3 ก. แต่เมื่อไม่ปรากฏว่า จำเลยแจ้งเปลี่ยนเจตนาในการครอบครองจากครอบครองแทน เป็นครอบครองเพื่อตนไปยังโจทก์ จำเลยครอบครองที่ดินพิพาท นานเท่าใดก็หาได้สิทธิครอบครองไม่ โจทก์ยังเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ในส่วนของโจทก์อยู่การที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งหมด ศาลฎีกาคงพิพากษาให้โจทก์ได้รับ ที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์เท่านั้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทะเบียนเลขที่ 5106 เลขที่ดิน 162 ตำบลโคกสูง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันฟังได้ว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และนายสุข งานโคกสูง สามีโจทก์ ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน(ส.ค.1) เอกสารหมาย จ.15 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เอกสารหมาย ล.12 ปี 2519 นายสุขถึงแก่ความตายนายมั่ง ฉ่ำจอหอ ทำกินในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยเงินกู้ที่โจทก์เป็นหนี้นายมั่ง ปี 2526 โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยและจำเลยจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินส่วนของนายสุขโดยพี่น้องทุกคนของจำเลยทำหนังสือสละมรดก จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยทำนาเองบางส่วนและให้ผู้อื่นเช่าบางส่วนและจำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เป็นชื่อของจำเลยในปี 2527 คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์สอดคล้องต้องกันและสมเหตุผล ทั้งพยานบุคคลและเอกสารมีน้ำหนักในการรับฟังโดยเฉพาะตามบันทึกเอกสารหมาย ป.จ.1 ที่ปลัดอำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา บันทึกไว้ในกรณีพิพาททางแพ่งระหว่างโจทก์กับนายมั่งตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2526 ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธย่อมฟังได้ใจความว่า วันที่ 19 กันยายน 2526 โจทก์ไปร้องเรียนว่าโจทก์นำเงินไปชำระหนี้นายมั่งครบถ้วนแล้ว นายมั่งไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาทในวันเดียวกันนายมั่งก็ให้ปากคำว่าโจทก์นำเงินมาชำระไม่หมด จึงไม่คืนที่ดินพิพาทให้ต่อมาวันที่ 7 ตุลาคม 2526 มีการบันทึกปากคำนายอิ่ม นางสายสุนี นางอนงค์และนายโปร่งว่า เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2526 โจทก์ขอยืมเงินนางสายสุนี63,000 บาท ชำระหนี้นายมั่งต่อหน้านางสายสุนี นายอิ่มและนางอนงค์ 60,000 บาท ส่วนอีก 3,000 บาท นางสายสุนีจะนำมาให้นายมั่งในภายหลัง และโจทก์ขอยืมเงินนายโปร่ง5,000 บาท ชำระหนี้นายมั่งต่อหน้านายโปร่งไปก่อนแล้ววันที่ 8 มกราคม 2527 โจทก์ขอให้ทางอำเภอบังคับนายมั่งออกจากที่ดินพิพาท อ้างว่าได้โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยไปแล้วดังนั้น การโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยจึงกระทำระหว่างที่โจทก์ยังพิพาทอยู่กับนายมั่งส่วนจำเลยอ้างว่าชำระหนี้นายมั่งในวันที่20 กันยายน 2526 โดยนายสนิทสามีจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า มีบันทึกการชำระหนี้ให้นายมั่ง ซึ่งปลัดอำเภอชื่อนายสาโรชทำไว้ด้วย นายมั่งคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ให้ในวันเดียวกันนั้น เห็นว่า จำเลยเบิกความลอย ๆ มิได้อ้างบันทึกดังกล่าวมาเป็นพยานทั้งหากจำเลยชำระหนี้ให้แก่นายมั่งในวันดังกล่าว เหตุใดต่อมาในวันที่ 6 ตุลาคม 2526 นายอิ่มนางสายสุนี นางอนงค์ และนายโปร่งยังมาให้ปากคำยืนยันต่อปลัดอำเภอว่าโจทก์ขอยืมเงินนายโปร่งและนางสายสุนีชำระหนี้แก่นายมั่งอีก จึงไม่น่าเชื่อ และที่จำเลยอ้างว่าจำเลยชำระหนี้ให้แก่นางสายสุนีและนายโปร่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2526 ก็ปรากฏว่านางสายสุนีพยานจำเลยเองเบิกความว่า จำเลยทำนาต่อมาอีก5 ปีจึงชำระหนี้ให้แก่นางสายสุนีหมด จึงไม่น่าเชื่อเช่นกันทั้งคำเบิกความดังกล่าวของนางสายสุนีและที่ นางสายสุนีเบิกความว่า โจทก์กู้ยืมเงินนางนายสุนีไปใช้หนี้นายมั่งนั้นกลับเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ นอกจากนี้จำเลยเองเบิกความว่าจำเลยทำนาในที่ดินพิพาทไม่ถึง 10 ไร่ ได้ผลผลิตเพียงไรก็นำมาใช้กินเองและให้โจทก์ด้วย แสดงว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์โอนที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ให้จำเลยครอบครองแทนแม้จำเลยจะนำที่ดินพิพาทไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยแจ้งเปลี่ยนเจตนาในการครอบครองจากครอบครองแทนเป็นครอบครองเพื่อตนไปยังโจทก์ จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทนานเท่าใดก็หาได้สิทธิครอบครองไม่ โจทก์ก็ยังเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์อยู่ แต่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งหมด ศาลฎีกาคงพิพากษาให้โจทก์ได้รับที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์เท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(2) ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ทะเบียนเลขที่ 5106 เลขที่ดิน 162 ตำบลโคกสูงอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 37 ไร่1 งาน โจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของกึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1