คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1571/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นเทศบาล จำเลยที่ 2 รับจ้างจำเลยที่1 ทำท่อระบายน้ำและทางเท้าสาธารณะซึ่งอยู่ในความดูแลและบำรุงรักษาของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ละเว้นไม่ทำการป้องกันอันตรายแก่ผู้ใช้ถนนหรือทางเท้าตามหน้าที่ให้เรียบร้อย โดยไม่ปิดฝาบ่อและ.ไม่มีแสงสว่างให้เห็นทั้งไม่มีเครื่องหมายหรือเครื่องปิดกั้นแสดงไว้ให้ทราบฉะนั้น การที่โจทก์พลัดตกลงไปในบ่อพักท่อระบายน้ำของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ความประมาทเลินเล่อของโจทก์ จำเลยที่ 1 จะอ้างว่ายังอยู่ในระหว่างการจ้างซึ่งจำเลยที่2 ยังไม่มอบงานไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 1 ย่อมมีหน้าที่เพื่อการนี้โดยตรง เมื่อจำเลยที่ 1 ละเว้น.ไม่จัดการป้องกันอันตรายอันจะเกิดขึ้นแก่ผู้ใช้ถนนหรือทางเท้าตามหน้าที่ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ประมาทเลินเล่อต้องรับผิดต่อโจทก์ และจะอ้างข้อตกลงที่จำเลยที่ 1 ได้ตกลงไว้กับจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบต่ออุปัทวเหตุหรือภยันตรายความเสียหายที่เกิดขึ้นเอง เพื่อปัดให้ตนพ้นผิดไม่ได้ เพราะโจทก์เป็นคนนอกสัญญา
จำเลยที่ 1 เป็นเทศบาลนคร การสร้างทางเท้าและท่อระบายน้ำเป็นหน้าที่ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 56ประกอบด้วยมาตรา 50 และ 53 เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นแก่โจทก์เพราะจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิด จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างทำของ เมื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด หาได้ไม่
ในมูลละเมิด แม้โจทก์นำสืบถึงค่าที่ขาดรายได้จากการประกอบการงานถึงจำนวนที่แน่นอนไม่ได้ ศาลก็กำหนดจำนวนค่าเสียหายให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเทศบาลนคร จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างผู้รับจ้างทำการงานก่อสร้างตามที่จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ได้จ้างจำเลยที่ ๒ ทำท่อระบายน้ำและทางเท้าสาธารณะซึ่งอยู่ในความดูแลและบำรุงรักษาของจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้ง ๒ได้กระทำการโดยประมาทเลินเล่อ มิได้ปิดกั้นฝาบ่อน้ำท่อระบายน้ำ๑ บ่อ และไม่จุดโคมมีแสงไฟหรือทำเครื่องหมายบอกให้ระวังอันตรายหรือล้อมรั้วปิดกั้น ป้องกันไว้ให้สาธารณชนผู้สัญจรไปมาบนทางเท้าในเวลากลางคืนทราบ หรือเป็นที่สังเกตได้ว่าตรงนั้นเป็นบ่อน้ำของท่อระบายน้ำ ซึ่งถ้าคนเดินตกลงไปจักได้รับอันตรายให้ระมัดระวังเพื่อป้องกันอุปัทวเหตุหรือภยันตรายแก่สาธารณชนผู้สัญจรไปมาโจทก์เดินมาบนทางเท้าโดยมิได้ทราบหรือสังเกตเห็นว่ามีบ่อน้ำของท่อระบายน้ำเปิดทิ้งไว้ จึงพลัดลงไปได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส กระดูกแข้งขาขวาครึ่งล่างหักโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสองรวมทั้งสิ้น ๑๑๔,๕๒๕ บาท จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ได้ทำสัญญาจ้างเหมาจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ก่อสร้างทางเท้า มีข้อสัญญาว่าผู้รับจ้างจะต้องรับผิดชอบต่ออุปัทวเหตุหรือภยันตรายความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นต่อการงานของผู้รับจ้างเอง การที่โจทก์เดินพลัดตกลงไปในท่อเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การที่โจทก์ตกบ่อเป็นความผิดของโจทก์เอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน ๑๗,๐๒๕ บาท
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน๒๒,๐๒๕ บาท
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์พลัดตกลงไปในบ่อพักท่อระบายน้ำของจำเลยที่ ๑ ก็เพราะปากบ่อไม่มีฝาปิด และไม่มีแสงสว่างให้เห็นทั้งไม่มีเครื่องหมายหรือเครื่องปิดกั้นแสดงไว้ให้ทราบ จึงไม่ใช่เป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์ แต่เป็นเพราะจำเลยที่ ๑ ละเว้นไม่กระทำการป้องกันอันตรายแก่ผู้ใช้ถนนหรือทางเท้านั้นตามหน้าที่ให้เรียบร้อย จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่ายังอยู่ในระหว่างการจ้างซึ่งจำเลยที่ ๒ ยังไม่มอบงานไม่ได้ เพราะจำเลยที่ ๑ เป็นเทศบาลย่อมมีหน้าที่เพื่อการนี้โดยตรงอยู่แล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ ละเว้นไม่จัดการป้องกันอันตรายอันจะเกิดขึ้นแก่ผู้ใช้ถนนหรือทางเท้าตามหน้าที่จำเลยที่ ๑ จึงเป็นผู้ประมาทเลินเล่อต้องรับผิดต่อโจทก์และจะอ้างข้อตกลงที่จำเลยที่ ๑ ได้ตกลงไว้กับจำเลยที่ ๒ ว่าจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชอบต่ออุปัทวเหตุหรือภยันตรายความเสียหายที่เกิดขึ้นเองเพื่อปัดให้ตนพ้นผิดไม่ได้เพราะโจทก์เป็นคนนอกสัญญาส่วนที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ว่าจ้างทำของจึงไม่ต้องรับผิดเมื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๒๘ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเทศบาลนคร การสร้างทางเท้าและท่อระบายน้ำเป็นหน้าที่ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖มาตรา ๕๖ ประกอบด้วยมาตรา ๕๐ และ ๕๓ เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะจำเลยที่ ๑ ได้ประมาทเลินเล่อแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ต้องรับผิด
ส่วนค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ต้องขาดรายได้จากการประกอบการงานเป็นเวลา ๑ ปี แต่โจทก์นำสืบถึงจำนวนรายได้ที่แน่นอนไม่ได้ เห็นควรให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายเพราะขาดรายได้เป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทน ๓๔,๐๒๕ บาท
พิพากษาแก้ เป็นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวนดังกล่าว

Share