แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทำร้ายและค้นเอาทรัพย์ของผู้เสียหายโดยได้กระทำต่อเนื่องกันทั้งหลังจากได้ทรัพย์แล้วยังมีการข่มขู่ผู้เสียหายอีกย่อมเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำการทั้งหมดเป็นอันเดียวกันมาแต่ต้นหาใช่เจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแต่แรกแล้วเกิดเจตนาลักทรัพย์ของผู้เสียหายขึ้นภายหลังจากที่ได้ทำร้ายผู้เสียหายไปแล้วไม่ ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ มีความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กาย ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม ฎีกาของจำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีปรากฏในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เพื่อจะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้องว่า ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไร้สาระเพราะเมื่อไม่มีข้อเท็จจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้างย่อมไม่เกิดข้อกฎหมายอันจะเป็นสาระแก่คดีขึ้นได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,200 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้ชิงทรัพย์และไม่ได้ใช้อาวุธทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แต่รับว่าได้ชกผู้เสียหายจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุก 6 เดือน ผิดตามมาตรา 335(1) จำคุก 2 ปี สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ความผิดฐานลักทรัพย์ ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก รวมทั้งสิ้น 1 ปี 7 เดือนให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายรวม 1,200 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม จำคุก 10 ปี คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยได้กระทำผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษหรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าขณะผู้เสียหายนั่งดูหมอลำอยู่ที่บริเวณหน้าเวที จำเลยเข้ามาจับแขนผู้เสียหายเรียกให้ลุกขึ้นบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ผู้เสียหายขอให้คุยกันที่ข้างเวทีหมอลำแต่จำเลยกลับจูงผู้เสียหายไปที่ข้างศาลาห่างเวทีหมอลำไปทางเหนือประมาณ 7 วา แล้วใช้สนับมือชกผู้เสียหายที่เหนือคิ้วขวา ผู้เสียหายล้มลงจำเลยเข้าเตะซ้ำอีก 3 ที แล้วล้วงเอาธนบัตรฉบับละ 100 บาทจำนวน 8 ฉบับ แว่นตา 1 อัน จากกระเป๋าเสื้อด้านขวาของผู้เสียหายและปัสสาวะรดใส่ศีรษะผู้เสียหายกับขู่ว่าถ้าบอกพ่อแม่จะฆ่าล้างโคตร และมีนายพัดอายุ 63 ปี ไม่มีสาเหตุกับจำเลยมาก่อนเบิกความสนับสนุนได้ความตรงกันกับคำผู้เสียหาย หลังเกิดเหตุนายพัดเป็นผู้พาผู้เสียหายไปแจ้งเหตุต่อนายเหรียญผู้ใหญ่บ้านส่งผู้เสียหายไปโรงพยาบาลกับเป็นผู้ไปแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจเชื่อได้ว่านายพัดได้เห็นเหตุการณ์จริง นายพันธุ์พยานโจทก์อีกหนึ่งปากเบิกความว่า ขณะนั่งดูหมอลำเห็นจำเลยพาผู้เสียหายเดินผ่านไปทางทิศเหนือ หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที เห็นนายพัดพยุงผู้เสียหายกลับมาบริเวณหน้าเวทีหมอลำ ผู้เสียหายมีเลือดไหลเต็มใบหน้า นายพันธุ์ถามว่าใครเป็นคนทำร้าย ผู้เสียหายระบุว่าจำเลยใช้สนับมือชก และเตะ 3 ที แล้วล้วงเอาเงินสดจำนวน 800 บาทแว่นตา 1 อัน ของผู้เสียหายไป สมตามคำของผู้เสียหายและนายพัดนายเหรียญผู้ใหญ่บ้านเบิกความสนับสนุนว่าคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ4 นาฬิกา นายพัดพาผู้เสียหายมาแจ้งเหตุว่าจำเลยใช้สนับมือชกผู้เสียหายที่บริเวณคิ้วขวา เตะที่อก แล้วล้วงเอาเงินสด 800 บาทแว่นตา 1 อัน ของผู้เสียหายไปแล้วปัสสาวะรดผู้เสียหายด้วยนายเหรียญได้บันทึกการรับแจ้งเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 แสดงให้เห็นว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยทำร้ายและเอาทรัพย์ไป จึงแจ้งเหตุต่อผู้ใหญ่บ้านเพื่อให้ช่วยดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าเป็นการปั้นแต่งเสริมเรื่องเพื่อให้จำเลยรับโทษหนักขึ้น นายแพทย์ประพันธ์เบิกความยืนยันว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลที่เหนือคิ้วขวาขอบแผลเรียบ สันนิษฐานว่าเกิดจากถูกของแข็งมีคมเจือสมกับคำผู้เสียหายและนายพัดที่ว่าจำเลยใช้สนับมือชกผู้เสียหายที่เหนือคิ้วขวา จำเลยให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.7ก็รับว่า มีเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายมาก่อน เมื่อพบผู้เสียหายที่หน้าเวทีหมอลำจึงเข้าไปเรียกให้ออกมาที่ข้างศาลาแล้วจำเลยได้ชกผู้เสียหายที่ใบหน้า 1 ที ผู้เสียหายล้มลง จำเลยเตะซ้ำ 3 ทีแล้วหยิบเอาแว่นตาของผู้เสียหายมาหักทำลายทิ้ง เจือสมกับคำผู้เสียหายเป็นส่วนใหญ่ พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวมาเชื่อมโยงรับกันประกอบด้วยเหตุผลจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยและผู้เสียหายออกไปเต้นรำหน้าเวทีหมอลำ ผู้เสียหายเต้นเหยียบเท้าจำเลย จำเลยต่อว่า ผู้เสียหายกลับแสดงความไม่พอใจจำเลยจึงดึงเอาแว่นตาของผู้เสียหายที่สวมพาดไว้ตรงหน้าผากมาหักทำลายทิ้ง ผู้เสียหายผลักจำเลย จำเลยจึงชกและเตะผู้เสียหายมีคนมาห้ามจึงเลิกกันไปนั้น แตกต่างจากที่จำเลยให้การไว้ในชั้นสอบสวน ไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ข้อเท็จจริงต้องฟังตามคำพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยใช้สนับมือเป็นอาวุธทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายแล้วเข้าค้นเอาธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 8 ฉบับ แว่นตา 1 อัน จากกระเป๋าเสื้อของผู้เสียหายไปโดยเจตนาทุจริต และจำเลยยังได้ปัสสาวะรดใส่ศีรษะผู้เสียหายและขู่ผู้เสียหายว่าถ้าบอกพ่อแม่จะฆ่าล้างโครตการทำร้ายและการค้นเอาทรัพย์กระทำต่อเนื่องกันไปหลังจากได้ทรัพย์แล้วก็ยังมีการข่มขู่ผู้เสียหายอีก ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำการทั้งหมดเป็นอันเดียวกันมาแต่ต้น หาใช่เจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแต่แรกแล้วเกิดเจตนาลักทรัพย์ของผู้เสียหายขึ้นภายหลังจากที่ได้ทำร้ายผู้เสียหายไปแล้วไม่ ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ มีความผิดฐานชิงทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสามศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาคดีมาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่า ผู้เสียหายสมัครใจวิวาทชกต่อยกับจำเลย จึงไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์นั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่มีปรากฏในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยยกกล่าวอ้างขึ้นเองเพื่อจะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้องว่า ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไร้สาระเพราะเมื่อไม่มีข้อเท็จจริงตามที่จำเลยอ้าง ย่อมไม่เกิดข้อกฎหมายอันจะเป็นสาระแก่คดีขึ้นได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน.