แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ปกปิดความจริงโดยนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงที่ควรแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าภรรยาและญาติของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจ้างโจทก์ให้ว่าความไว้แล้วเป็นเงิน 10,000 บาท ทำให้จำเลยที่ 1 หลงเข้าใจผิดว่ายังไม่มีสัญญาจ้างว่าความให้ตน จึงยอมทำสัญญาจ้างโจทก์ให้ว่าความอีกเป็นเงิน 25,000 บาท หากโจทก์บอกความจริง จำเลยที่ 1 ก็คงไม่ยอมทำสัญญาให้อีก ถือว่าเป็นกลฉ้อฉลที่มีสาระสำคัญถึงขนาด สัญญาจ้างว่าความที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ตกเป็นโมฆียะกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121,124 จำเลยที่ 1 มีสิทธิบอกล้างได้ และเมื่อจำเลยที่ 1 บอกล้างโมฆียะกรรมยังไม่พ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่ทราบถูกโจทก์ทำกลฉ้อฉลสัญญาจ้างว่าความดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 137,138 ทำให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันตามสัญญานั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าจ้างว่าความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยที่ ๑ ถูกฟ้องฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ศาลจังหวัดลพบุรีพิพากษาจำคุก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันว่าจ้างโจทก์ให้ดำเนินคดีชั้นฎีกาให้จำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท ชำระให้แล้ว ๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือทำเป็นสัญญาไว้ ๒ ฉบับ คือทำให้เป็นสัญญากู้ ๕,๐๐๐ บาท และเป็นสัญญาจ้างความอีก ๑๕,๐๐๐ บาท โจทก์ดำเนินคดีชั้นศาลฎีกา จนผลที่สุดศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๑ โจทก์ทวงถามค่าจ้างว่าความ จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระอีก ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ระหว่างที่ต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำกลาง โจทก์เข้าไปเยี่ยมและบอกกล่าวได้จัดการขออ้างพยานเพิ่มเติมและจะช่วยแถลงการณ์ประกอบคดีให้หากจำเลยหลุดพ้นข้อหาโจทก์ขอค่าจ้าง ๑๕,๐๐๐ บาท จำเลยอยู่ในสภาพนักโทษจิตใจไม่ปกติ และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงได้เซ็นชื่อในสัญญาให้โจทก์ไปโดยไม่ทราบว่าภรรยาและญาติได้ตกลงว่าจ้างไว้ก่อนแล้ว โจทก์ให้จำเลยทำสัญญาจ้างฉบับหลังขึ้นโดยไม่สุจริตเพราะปกปิดความจริงไม่แจ้งให้จำเลยทราบก่อน ถ้าจำเลยทราบความจริงก็จะไม่ยอมทำสัญญาจ้างฉบับหลังให้โจทก์ ฉะนั้นสัญญาจ้างฉบับหลังจึงตกเป็นโมฆะ เพราะจำเลยสำคัญผิด โจทก์ไม่มีสิทธิเอาสัญญาจ้างฉบับเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทมาฟ้องจำเลยเป็นการเอาเปรียบ จำเลยจะยอมชำระเงิน ๕,๐๐๐ บาทที่ภรรยาและญาติตกลงไว้และค้างอยู่เท่านั้น
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ที่ ๕ ให้การว่า ตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทจริง ได้ชำระได้แล้ว ๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือทำเป็นสัญญากู้ไว้โดยตกลงกับโจทก์ว่า ถ้าจำเลยที่ ๑ พ้นข้อหาจะให้จำเลยที่ ๑ ชำระแทน ส่วนสัญญาจ้างว่าความ จำเลยมิได้เป็นคู่สัญญาด้วย จำเลยไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระค่าจ้างว่าความที่ค้าง ๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์เพิ่มขึ้นอีก ๑๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราและระยะเวลาตามฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โดยเหตุผลทำให้ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ว่าจ้างโจทก์ว่าความเป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาทดังโจทก์อ้าง แต่ตกลงค่าจ้างกันเพียง ๑๐,๐๐๐ บาทตามที่จำเลยนำสืบ โจทก์เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ถูกคุมขังอยู่ ณ เรือนจำกลางบางขวางซึ่งอยู่คนละจังหวัด ห่างไกลจากภรรยาและญาติ จึงถือโอกาสเดินทางมาพูดหว่านล้อมขอให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจ้างว่าความให้ ซึ่งอาจได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นอีก พอดีจำเลยที่ ๑ ก็ยอมทำตาม จึงเกิดเอกสารหมาย จ.๒ ขึ้น ทั้งนี้โดยปกปิดความจริงไม่บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าภรรยาและญาติได้ทำสัญญาจ้างโจทก์ให้ว่าความไว้แล้ว เป็นการกระทำที่ไม่สุจริต เพราะโจทก์นิ่งเสียไม่ไขข้อคามจริงที่ควรบอกให้แจ้ง ทำให้จำเลยที่ ๑ หลงผิดเข้าใจผิดว่ายังไม่มีสัญญาจ้างว่าความให้ตน จึงยอมทำสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๒ หากโจทก์บอกความจริง ว่าได้ทำสัญญาให้ตามเอกสารหมาย จ.๒ อีก ดังที่จำเลยนำสืบต่อสู้ไว้ การแสดงเจตนาทำสัญญาของจำเลยที่ ๑ ครั้งนั้นเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ และเป็นกลฉ้อฉลที่มีสาระสำคัญถึงขนาด เพราะฉะนั้นเอกสารตามเอกสารหมาย จ. ๒ จึงตกเป็นโมฆียะกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๑,๑๒๔ จำเลยที่ ๑ มีสิทธิบอกล้างได้ ทั้งจำเลยที่ ๑ นำสืบไว้ว่า เมื่อญาติบอกว่าได้ชำระเงินให้โจทก์ไปแล้ว ๕,๐๐๐ บาทกับทำสัญญากู้เงินให้โจทก์อีก ๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ รีบไปหาโจทก์ขอเลิกสัญญาฉบับเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท โจทก์บอกว่าไม่เป็นไรให้เอาเงิน ๕,๐๐๐ บาทตามสัญญากู้ไว้มาให้ แสดงว่ามีการบอกล้างสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๒ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ทำไว้ด้วยกลฉ้อฉลของโจทก์แล้ว
มีปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ ๑ ได้ บอกล้างโมฆียะกรรมภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ ๑ เบิกความว่าทราบเรื่องญาติว่ามีสัญญาจ้างว่าความกันไว้ภายหลังจากฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ได้เบิกความว่าเคยไปศาลฎีกาในวันนัดแถลงการณ์ พวกที่พี่น้องคุยกับจำเลยที่ ๑ เล่าให้ฟังว่าได้ให้เงินโจทก์ไป ๕,๐๐๐ บาท และทำสัญญากู้เงินให้ไว้อีก ๕,๐๐๐ บาท แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ทราบเรื่องกับพวกญาติทำสัญญาจ้างโจทก์ว่าความให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้วแต่วันนัดแถลงการณ์ ปรากฏจากสำนวนคดีอาญาของศาลจังหวัดลพบุรีหมายเลขแดงที่ ๑๙๑/๒๕๑๘ ว่ามีนัดแถลงการณ์ ๒ ครั้ง คือวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๑๕ และวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๕ คิดหาระยะเวลาจำเลยที่ ๑ ทราบว่าถูกโจทก์ทำกลฉ้อฉลตั้งแต่วันนัดแถลงการณืครั้งแรกไปจนถึงวันบอกล้าง โดยจำเลยที่ ๑ เบิกความว่าไปบอกล้างโมฆียะกรรมแล้ว ต่อมาโจทก์จึงทำหนังสือทวงเงินตามสัญญาจากจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เมื่อตรวจดูหนังสือทวงเงินตามเอกสารหมาย ล.๑ ปรากฏว่าลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๑๖ นับระยะเวลาจากวันนัดแถลงการณ์ครั้งแรกมาจนถึงวันที่ลงไว้ในหนังสือทวงเงินเป็นเวลา ๘ เดือนเศษยังไม่พ้นหนึ่งปี จำเลยที่ ๑ จึงมีสิทธิสมบูรณ์ในการบอกล้างโมฆียะกรรมได้โดยชอบด้วยกฎหมายและนิติกรรม สัญญาตามเอกสารหมาย จ.๒ จึงตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๗,๑๓๘ ทำให้โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันตามสัญญาฉบับดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ในจำนวนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น