คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1569/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเป็นความผิดอาญาอันจะลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างมาท้ายคำฟ้องได้หรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
เมื่อการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ไม่เป็นความผิดทางอาญา ศาลก็หาจำต้องไต่สวนมูลฟ้องเพื่อฟังข้อเท็จจริงต่อไปอีกไม่
จำเลยเป็นผู้ทำและลงลายมือชื่อของตนเองลงในหนังสือมอบอำนาจให้ ว. ไวยาวัจกรดำเนินคดีฟ้องแทนวัด ป. ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ซึ่งการทำเอกสารอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่จะทำได้ในฐานเป็นเจ้าอาวาส แม้วัด ป.จะมีฐานะเป็น นิติบุคคลหรือไม่ก็ตาม เอกสารดังกล่าวก็เป็นของจำเลยเองมิได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจของผู้หนึ่งผู้ใด การกระทำของจำเลยจึงไม่มีมูลความผิดฐานปลอมเอกสาร และเมื่อนำไปใช้ ย่อมไม่มีมูลความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงาน ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต กล่าวคือทราบแล้วว่าวัด ป.ไม่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเป็นวัดโดยชอบด้วยกฎหมายได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำหนังสือถึงนายอำเภอเพื่อขอพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัด ป. โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้กรอกข้อความ เจตนาไม่กรอกข้อความในช่องข้อหนึ่งในแบบรายงานที่ว่า เป็นวัดที่ได้รับอนุมัติให้ตั้งจากกระทรวงศึกษาธิการและกรรมการมหาเถรสมาคมแล้ว อันเป็นสารสำคัญในการขอพระราชทานวิสุงคามสีมา แล้วจำเลยที่ 1 ในฐานผู้มีหน้าที่ตรวจข้อความ ไม่ตรวจข้อความดังกล่าว เป็นเหตุให้วัด ป.ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และเป็นส่วนหนึ่งที่ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าวัด ป. เป็นนิติบุคคล ทั้งนี้ จำเลยทั้งสามมีเจตนาทุจริตเพื่อให้วัด ป. ได้ที่ดินของวัดโจทก์การกระทำของจำเลย ทำให้วัดโจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น หากจะถือว่าเป็นความผิด ผู้ได้รับความเสียหายก็คือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องราวที่ยื่นนั้น หาใช่โจทก์ไม่โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกับนายวันปลอมเอกสารขึ้นทั้งฉบับกล่าวคือ จำเลยทั้งสองทราบว่าตนไม่มีอำนาจมอบอำนาจให้นายวันดำเนินคดีแพ่งแก่พระวิสารทสุธี กับพวก ในนามวัดประสิทธิไพศาลเพราะวัดประสิทธิไพศาลไม่เป็นนิติบุคคลอันอาจดำเนินคดีได้ตามกฎหมายโดยวัดประสิทธิไพศาลมิได้มีการจัดสร้างและจัดตั้งให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งมิได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการและกรรมการมหาเถรสมาคมให้เป็นวัด ต่อมานายวันใช้เอกสารปลอมดังกล่าวยื่นฟ้องพระวิสารทสุธีกับพวก ขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่ 23 ไร่เศษ และให้ขับไล่พระวิสารทสุธีกับพวกออกจากที่ดิน ในที่สุดศาลชั้นต้นพิพากษาให้ตามฟ้อง การกระทำของจำเลยทำให้พระวิสารทสุธีกับพวกและวัดโพธิ์ธาตุเสียหาย

จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต โดยทราบแล้วว่าวัดประสิทธิไพศาลไม่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเป็นวัดโดยชอบด้วยกฎหมายได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำหนังสือถึงนายอำเภอชุมแพ เพื่อขอพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัดประสิทธิไพศาล โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้กรอกข้อความ มีเจตนาไม่กรอกข้อความในช่องข้อ 1 ในแบบรายงานของพระราชทานวิสุงคามสีมา และจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้มีหน้าที่ตรวจข้อความ ไม่ตรวจข้อความในช่องข้อ 1 อันเป็นสารสำคัญในการขอพระราชทานวิสุงคามสีมา สารสำคัญที่จะต้องกรอกในช่องข้อ 1 นั้น คือ ต้องเป็นวัดที่ได้รับอนุมัติให้ตั้งจากกระทรวงศึกษาธิการและกรรมการมหาเถรสมาคมแล้ว มิฉะนั้น ก็ไม่มีสิทธิขอพระราชทานวิสุงคามสีมาในที่สุดวัดประสิทธิไพศาลก็ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสามการกระทำของจำเลยทั้งสามมีเจตนาทุจริต เพื่อให้วัดประสิทธิไพศาลได้ที่ดินวัดโพธิ์ธาตุ และการได้มาซึ่งพระราชทานวิสุงคามสีมา เป็นส่วนหนึ่งที่ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าวัดประสิทธิไพศาลได้ขออนุญาตตั้งเป็นวัดและได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว การกระทำของจำเลยทำให้วัดโพธิ์ธาตุเสียหาย

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268, 157, 86 และ 83

วันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 45/2514 ของศาลชั้นต้นแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดการไต่สวนมูลฟ้อง แล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์ โดยหยิบยกเอาข้อเท็จจริงในคดีแพ่งมาฟังเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ เป็นการมิชอบ และโจทก์ได้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์หาได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จริงอยู่ แม้จะมีคำพิพากษาฎีกาที่ 1132/2482 พิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานว่า ในการพิจารณาคดีอาญาศาลจะยกเอาข้อเท็จจริงในคดีแพ่งมาเป็นหลักสำคัญเพื่อลงโทษจำเลยในคดีไม่ได้ก็ตาม แต่ถ้าการกระทำตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องนั้นไม่เป็นความผิดอาญาอันจะลงโทษจำเลยได้แล้ว ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็หาจำเป็นต้องสืบพยานโจทก์เพื่อฟังข้อเท็จจริงต่อไปไม่เพราะไม่เกิดประโยชน์อันใด ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง เป็นความผิดอาญาอันจะลงโทษตามบทกฎหมายที่อ้างท้ายคำฟ้องได้หรือไม่ ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ส่วนข้อเท็จจริงฟังได้จากคำฟ้องกับเอกสารท้ายฟ้องโจทก์ว่า พระครูเขมาภรณ์พิสุทธิซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดประสิทธิไพศาลเป็นผู้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายวันไวยาวัจกร ดำเนินคดีฟ้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินของวัด และขับไล่ผู้ละเมิด นายวันได้ใช้เอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานในการฟ้องคดี วินิจฉัยว่าหนังสือมอบอำนาจที่อ้างว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น พระครูเขมาภรณ์พิสุทธิเป็นผู้ทำและลงลายมือชื่อของตนเองลงในเอกสารนั้น ไม่ได้ลงชื่อผู้อื่น เป็นการแสดงว่าเอกสารนั้นเป็นของพระครูเขมาภรณ์พิสุทธิเอง มิได้ปลอมของผู้หนึ่งผู้ใด ทั้งการทำเอกสารอยู่ในอำนาจหน้าที่ที่จะทำได้ในฐานะเป็นเจ้าอาวาสการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่มีมูลความผิดฐานปลอมเอกสาร และเมื่อนำไปใช้ย่อมไม่มีมูลความผิดฐานใช้เอกสารปลอมอย่างไรก็ดี แม้ว่าวัดประสิทธิไพศาลจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตามก็ไม่ทำให้หนังสือมอบอำนาจที่พระครูเขมาภรณ์พิสุทธิทำขึ้นกลายเป็นเอกสารปลอมไปได้

สำหรับข้อหาว่าร่วมกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้นตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ สมมติว่า ถือได้ว่าการละเว้นดังที่บรรยายมานั้นเป็นความผิด ผู้ที่ได้รับความเสียหายคือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องราวที่ยื่นนั้น หาใช่โจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องในความผิดฐานนี้

พิพากษายืน

Share