แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาทและไม่บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์ขอ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 100 บาทและเดือนต่อๆไปอีกเดือนละ 2 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนเรือนออกไปจากที่พิพาท ดังนี้เป็นแก้น้อยฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
ตาม พระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ มาตรา 43 เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาจัดการวัดและสมบัติของวัด จึงมีอำนาจฟ้องคดีได้เอง หรือจะมอบอำนาจให้ผู้ใดฟ้องความแทนก็ได้
ใบมอบอำนาจท้ายฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง การวินิจฉัยเกี่ยวกับใบมอบอำนาจจึงไม่เป็นการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนไปจากฟ้อง (นอกฟ้อง)
เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดแม้โจทก์จะนำสืบความเสียหายไม่ได้ว่ามีจำนวนแค่ใดแน่นอน ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ได้ตามที่เห็นสมควร ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 (ฎีกาที่ 1499/2498 และ1494/2498)
ย่อยาว
คดีนี้วัดไชยชุมพลชนะสงครามมีพระครูวัตตสารโสภณ (ก้าน)เป็นเจ้าอาวาสและศึกษาธิการจังหวัดกาญจนบุรี โดยนายทวี สุนทรวิภาตรักษาการในตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัดเป็นไวยาวัจกรและผู้รับมอบอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ๆ ได้ครอบครองมาประมาณ 100 ปีเศษ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นศาสนสมบัติไว้แล้ว จำเลยได้สมคบกับนายเต็มนางแก้วไปยื่นคำร้องต่อกรมการอำเภอเมืองว่าที่ดินพิพาทที่ปลูกเรือนเป็นของนายเต็ม นางแก้วจะขายให้จำเลยโจทก์ได้ไปร้องคัดค้านไว้พนักงานเจ้าหน้าที่ได้เรียกนายน้อมไปสอบถาม นายน้อมยืนยันว่าได้โอนขายเฉพาะแต่ตัวเรือนให้จำเลยจำเลยก็คงอยู่ต่อมาไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท กระทำให้โจทก์ต้องเสียหายคิดเป็นเงิน 100 บาท และเสียหายเป็นรายเดือนต่อ ๆไปอีกเดือนละ 20 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปกับใช้ค่าเสียหาย 100 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 20 บาทด้วย
จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน ต่อสู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่เขตที่ของวัด เป็นที่ของนายเต็ม ๆ ได้ทำสัญญากันเองโอนขายให้จำเลยกับตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาอย่างไรและจดทะเบียนเป็นศาสนสมบัติเมื่อใด ทั้งใบมอบอำนาจของโจทก์ทำกันเองไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้ทำต่ออำเภอใช้ไม่ได้และโจทก์ควรฟ้องนายเต็มขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าใบมอบอำนาจของโจทก์หาจำเป็นต้องทำต่อหน้ากรมการอำเภอไม่ ส่วนที่โจทก์ไม่ฟ้องนายเต็มนั้นชอบแล้วเพราะจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่ และฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทพร้อมทั้งรื้อเรือนออกไป ส่วนค่าเสียหายโจทก์มิได้นำสืบจึงไม่บังคับให้
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะเรื่องค่าเสียหาย จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเรื่องค่าเสียหายนั้นฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ๆ จึงควรได้รับค่าเสียหายตามสมควร ปัญหานอกนั้นเห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษามาชอบแล้ว จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 2 ศาล กับค่าทนายทั้ง 2 ศาลเป็นเงิน 100 บาทแทนโจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหาย 100 บาทกับอีกเดือนละ 2 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนเรือนออกไปจากที่พิพาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ยกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยทั้ง 2 ฎีกาต่อมา โดยศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาอ้างว่าศาลอุทธรณ์แก้ไขมาก
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาทของโจทก์และไม่บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 100 บาทตามที่โจทก์ขอแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 100 บาทและเดือนต่อ ๆ ไปอีกเดือนละ 2 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนเรือนออกไปจากที่พิพาทแก่โจทก์เช่นนี้เป็นการแก้ไขน้อย ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1499/2498 จำเลยจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้แต่ในฎีกาของจำเลยข้ออื่นเป็นปัญหาข้อกฎหมายอยู่ด้วย และในการวินิจฉัยข้อกฎหมายในคดีนี้ ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตาม มาตรา 238, 247 และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เรื่องใบมอบอำนาจนั้นเห็นว่ามาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาจัดการวัดและสมบัติของวัด จึงมีอำนาจฟ้องคดีได้เองอยู่ในตัวหรือจะมอบอำนาจให้ผู้ใดฟ้องคดีแทนก็ได้ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ศาลอุทธรณ์ฟังมาแล้วว่าตามใบมอบอำนาจหมาย 1 เป็นการมอบให้บุคคลเป็นโจทก์ฟ้องแทน ไม่เป็นการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนกับคำฟ้องของโจทก์ เพราะเอกสารใบมอบอำนาจหมาย 1 ท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องอยู่ในตัว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนเรื่องค่าเสียหายตามที่โจทก์ฟ้องนั้นจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ประการใดเลยเมื่อฟังว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์แล้วแม้โจทก์จะนำสืบความเสียหายไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าใดแน่นอนตามกฎหมายศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ได้ตามที่เห็นสมควรตามมาตรา 438 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามฎีกาที่1494/2498 ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน