แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 นั้น ต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง มิใช่นับแต่วันรู้ว่าถูกแย่งการครอบครอง
ตั้งแต่จำเลยขอรังวัดออกโฉนดทับที่ของโจทก์ และเจ้าพนักงานได้นัดให้เจ้าของที่ข้างเคียงไปคอยระวังเขตทำการรังวัดลงหลักเขตและออกโฉนดให้จำเลยรับไปแล้วจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ย่อมถือว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเกินกว่า 1 ปีแล้ว
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลได้พิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องมีใจความอย่างเดียวกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินจำเลยได้รังวัดที่ดินของจำเลยเพื่อขอออกโฉนด แต่ได้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์บางส่วนโจทก์คดีแรกเพิ่งทราบเมื่อปลาย พ.ศ. 2502 และโจทก์คดีหลังเพิ่งทราบเมื่อเดือนธันวาคม 2503 จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินของจำเลยเฉพาะส่วนที่ออกทับที่พิพาท และให้รื้อรั้วด้วย
จำเลยให้การอย่างเดียวกันทั้งสองคดีว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยซึ่งซื้อและครอบครองมากว่า 30 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความและฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม ที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองคดี และโจทก์ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับตั้งแต่รู้ว่าจำเลยบุกรุก คดีไม่ขาดอายุความจึงห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาท และให้เพิกถอนโฉนดของจำเลยเฉพาะส่วนที่ออกทับที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินมือเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ตามมาตรานี้การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง มิใช่นับแต่วันรู้ว่าถูกแย่งการครอบครอง และคดีทั้งสองนี้นับตั้งแต่เจ้าพนักงานนัดให้เจ้าของที่ดินข้างเคียงไปคอยระวังเขตทำการรังวัดลงหลักเขตและออกโฉนดให้จำเลยรับไปจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปีแล้ว ถือว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเกินกว่า 1 ปโจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเรียกที่พิพาทคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน