แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 14 ให้อำนาจคณะกรรมการ กลต. กำกับดูแลในเรื่องหลักทรัพย์และธุรกิจหลักทรัพย์ และให้รวมถึงออกระเบียบหรือข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.นี้ ซึ่งคณะกรรมการ กลต. อาศัยอำนาจตามมาตรา 14 และมาตรา 117 ออกข้อกำหนด ตามประกาศคณะกรรมการ กลต. เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจัดตั้งและจัดการกองทุนรวม ซึ่งเป็นข้อกำหนดเพื่อการยื่นคำขออนุญาตจดทะเบียนจัดตั้งและจัดการกองทุนรวม ซึ่งหากการยื่นคำขอไม่เข้าหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการตามข้อกำหนด สำนักงานคณะกรรมการ กลต. ย่อมมีอำนาจที่จะไม่อนุมัติให้จดทะเบียนจัดตั้งกองทุนรวมเสียได้เท่านั้น หาใช่เป็นการออกประกาศข้อกำหนด หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการในกิจการ ซึ่งบังคับให้ต้องกระทำหรือห้ามมิให้กระทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่หากฝ่าฝืนแล้วจะมีความผิดและต้องรับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ การจดทะเบียนจัดตั้งและจัดการกองทุนรวม แม้ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด จึงมิใช่เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายอันจะตกเป็นโมฆะ ทั้งข้อกำหนดดังกล่าวก็มิใช่เป็นแบบของนิติกรรมที่กฎหมายบังคับไว้ ซึ่งหากมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบแล้วจะมีผลทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะเช่นกัน
ข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ ที่กำหนดว่า หากผู้ชนะการประมูลต้องการเสนอให้ผู้อื่นลงนามในสัญญาขายแทน ผู้ชนะการประมูลจะต้องระบุชื่อพร้อมกับยื่นเอกสารของผู้ที่จะลงนามในสัญญาขายตามที่ระบุในรายละเอียดเอกสารเพิ่มเติมมายังองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ป.ร.ส.) ภายใน 2 วัน ทำการ นับจากวันประมูลนั้น เป็นเพียงระเบียบที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินกำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกและความเป็นระเบียบในการประมูล หาใช่เป็นบทกฎหมายที่หากไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนแล้วจะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ การที่ ป.ร.ส. ไม่ได้ยึดถือข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ ดังกล่าวที่กำหนด เกี่ยวกับวันเวลาตามที่บริษัทเงินทุน ก. โอนสิทธิที่จะเข้าทำสัญญาขายแก่โจทก์เกินกำหนดเวลา 2 วันทำการ นับจากวันประมูล จึงไม่ทำให้สัญญาขายเสียไปและการที่โจทก์เข้าทำสัญญาซื้อขาย โดยไม่ได้เข้าประมูลแข่งขันก็ไม่เป็นการขัดต่อ พ.ร.ก.การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 30 วรรคห้า เพราะข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ เป็นระเบียบที่ออกมาเพื่อเป็นข้อปฏิบัติภายหลังจากที่มีการประมูลซื้อทรัพย์สินเปิดประมูลโดยเปิดเผยแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 15,550,657.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จากต้นเงิน 7,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนกองทุนรวมเอเชียรีคอฟเวอรี่ 3 โจทก์ในคดีนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยที่ 3 และไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่จำเลยที่ 3 ต่อมาจำเลยที่ 3 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งโดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 10,359,342.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากต้นเงิน 7,000,000 บาท นับแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบให้ยึดห้องชุดเลขที่ 592/434 ชั้นที่ 30 อาคารเลขที่ 1 อาคารชุดพาร์คบีช คอนโดมิเนียม ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 695 และ 31673 ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดแล้ว ตามคดีหมายเลขแดงที่ ล 1091/2553 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอเข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบ ให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 1 ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนโจทก์
ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 3 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.1091/2553 ของศาลล้มละลายกลาง จึงขอเข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2535 ตามหนังสือรับรอง และได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการจัดการกองทุน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2535 ตามสำเนาใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) รับจดทะเบียนกองทุนรวมโจทก์ เป็นกองทุนรวมตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ตามที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด ขอจดทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน ประเภทไม่ซื้อคืนหน่วยลงทุน มีผู้ถือหน่วยลงทุน 2 ราย คือ บริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด ถือหน่วยลงทุนร้อยละ 74.9999983 และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ถือหน่วยลงทุนร้อยละ 25.0000017 ตามสำเนาหนังสือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำเนาหนังสือรับรองและสำเนาคำขอจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม โดยคณะกรรมการ กลต. ได้ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินไว้ ตามสำเนาประกาศคณะกรรมการ กลต. ที่ กน.16/2541 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2536 จำเลยที่ 1 ขอกู้ยืมเงินบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 12,000,000 บาท โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินและจำนองห้องชุดเลขที่ 592/434 ถึง 592/437 ชั้นที่ 30 อาคารเลขที่ 1 อาคารชุดพาร์คบีช คอนโดมิเนียม ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 695 และ 31673 ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นประกันหนี้ ตกลงว่าหากบังคับจำนองได้เงินน้อยกว่าเงินที่ค้างชำระกันอยู่ จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดในเงินที่ขาดอยู่จนครบ มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับนายถนอม กรรมการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกัน ตามหนังสือคำขอกู้เงินโดยตั๋วสัญญาใช้เงิน หนังสือสัญญาจำนอง หนังสือสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 13 มีนาคม 2540 จำนวนเงิน 7,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี และดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 30 ต่อปี ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2540 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีคำสั่งให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ระงับการดำเนินกิจการ โดยมีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เข้าควบคุมการดำเนินกิจการและนำทรัพย์สินออกจำหน่ายในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2542 ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการขายสินทรัพย์หลักของสถาบันการเงินที่ไม่อาจแก้ไขหรือฟื้นฟูฐานะหรือดำเนินงานได้จำนวน 56 บริษัท ตามสำเนาประกาศคณะกรรมการ ปรส. บริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูลสินทรัพย์กลุ่ม COS-03 และ COS-09 และอื่นๆ รวม 4 กลุ่ม ตามสำเนาประกาศผลการประมูลการจำหน่ายสินเชื่อพาณิชย์และสินเชื่ออื่นรอบสอง วันที่ 23 พฤศจิกายน 2542 บริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด แจ้งต่อ ปรส. ว่า ชื่อผู้ซื้อที่จะลงนามในสัญญาการจำหน่ายของ ปรส. กลุ่มสินทรัพย์ COS-03 และ COS-09 ได้แก่ โจทก์ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 โจทก์เข้าทำสัญญาขายกลุ่มสินทรัพย์ COS-03 และ COS-09 กับ ปรส. โดยมีหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 13 ธันวาคม 2540 จำนวนเงิน 7,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และนายถนอมค้างชำระบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงไทย จำกัด (มหาชน) รวมอยู่ในกลุ่มสินทรัพย์ COS-09 ตามสำเนาสัญญาขาย วันที่ 18 ธันวาคม 2544 จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ชั้นต้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันเข้าทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับโจทก์ โดยยอมรับว่า ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2544 เป็นหนี้โจทก์ ต้นเงิน7,000,000 บาท และดอกเบี้ยค้างชำระ 6,939,205.55 บาท ประสงค์จะให้โจทก์ผ่อนปรนข้อกำหนดการชำระหนี้ให้เหมาะสม โดยตกลงชำระหนี้ 7,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2542 เป็นต้นไปและจะชำระหนี้ทั้งหมดไม่เกินวันที่ 30 พฤษภาคม 2545 เมื่อชำระไม่น้อยกว่า 3,600,000 บาท ลูกหนี้มีสิทธิขอปลดจำนอง / ไถ่ถอนจำนองห้องชุดเลขที่ 592/437 หากลูกหนี้ผิดนัดให้ถือว่าข้อผ่อนปรนตามสัญญาเป็นอันยกเลิก ตามสำเนาสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ชำระหนี้โจทก์เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2544 จำนวน 3,600,000 บาท เพียงครั้งเดียวแล้วไม่ชำระให้อีก โดยโจทก์ปลดจำนองห้องชุดเลขที่ 592/437 ให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 4 เป็นมารดา นายถนอมซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2544 วันที่ 30 พฤษภาคม 2548 โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองตามสำเนาหนังสือบอกกล่าว ใบตอบรับ ซองจดหมายคืนผู้ฝากและหนังสือมอบอำนาจ และโจทก์โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด มอบอำนาจให้นายสุนทร นายยอดยิ่ง นายจิรชัยศิริ และนายวิศิษฐ์ ฟ้องและดำเนินคดีแทน กับให้มอบอำนาจช่วงได้ ตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจ ซึ่งนายยอดยิ่งและนายวิศิษฐ์มอบอำนาจช่วงให้นายอรรถพลฟ้องและดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่แทน ตามหนังสือมอบอำนาจช่วงให้ดำเนินคดี คดีสำหรับจำเลยที่ 4 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์จึงยุติไป คงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด ขอจดทะเบียนจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมโจทก์โดยไม่ชอบ เพราะมีผู้ถือหน่วยลงทุนเพียง 2 ราย ถือหน่วยลงทุนเกินร้อยละ 10 และยื่นขอจดทะเบียนเกิน 1 ปี ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการในการขอจัดตั้งและจัดการกองทุนรวม เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน ตามประกาศคณะกรรมการ กลต. ที่ กน.16/2541 ตกเป็นโมฆะ เพราะมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ โจทก์จึงไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 14 ให้อำนาจคณะกรรมการ กลต. กำกับดูแลในเรื่องหลักทรัพย์ ธุรกิจหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์…องค์กรที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์…อำนาจดังกล่าวให้รวมถึง (1) ออกระเบียบ…หรือข้อกำหนดตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งคณะกรรมการ กลต. ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 14 และมาตรา 117 ออกข้อกำหนดตามประกาศคณะกรรมการ กลต. ที่ กน. 16/2541 เรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจัดตั้งและจัดการกองทุนรวม ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2541 สำเนาประกาศ ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 เป็นเพียงข้อกำหนดเพื่อการยื่นคำขออนุญาตจดทะเบียนจัดตั้งและจัดการกองทุนรวม ซึ่งหากการยื่นคำขอไม่เข้าหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการตามข้อกำหนด สำนักงานคณะกรรมการ กลต. ย่อมมีอำนาจที่จะไม่อนุมัติให้จดทะเบียนจัดตั้งกองทุนรวมเสียได้เท่านั้น หาใช่เป็นการออกประกาศข้อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการในกิจการซึ่งบังคับให้ต้องกระทำหรือห้ามมิให้กระทำอย่างหนึ่งอย่างใด หากฝ่าฝืนแล้วมีความผิดและต้องรับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ การขอจดทะเบียนจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมแม้ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด จึงมิใช่เป็นนิตกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายอันจะตกเป็นโมฆะได้เลย และข้อกำหนดดังกล่าวมิใช่เป็นแบบของนิติกรรมที่กฎหมายบังคับไว้ ซึ่งหากมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบแล้วจะมีผลทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 152 เช่นกัน ทั้งการที่สำนักงานคณะกรรมการ กลต. รับจดทะเบียนกองทุนรวมโจทก์ โดยไม่มีการทักท้วงใด ๆ ยังแปลได้ว่าเนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการ กลต. พิจารณาแล้วเห็นว่า คำขอของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการตามข้อกำหนดแล้วนั่นเอง เพราะไม่มีเหตุผลใดเลยที่สำนักงานคณะกรรมการ กลต. จะต้องรับจดทะเบียนกองทุนรวมโจทก์ หากเป็นการยื่นคำขอจดทะเบียนที่ไม่ชอบ ส่วนที่ประกาศ ข้อ 2 กำหนดไว้ตอนต้นว่า การยื่นคำขออนุมัติจัดตั้งและจัดการกองทุนรวม บริษัทจัดการต้องยื่นคำขอภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ เป็นเพียงการกำหนดกรอบระยะเวลาในการยื่นคำขอ ซึ่งก็มิได้มีความหมายว่า หากยื่นคำขอพ้นกำหนด 1 ปี สำนักงานคณะกรรมการ กลต. ไม่มีอำนาจที่จะรับจดทะเบียน การไม่ยึดถือข้อกำหนดที่เกี่ยวกับวันเวลาของ ปรส. จึงไม่มีผลทำให้การรับจดทะเบียนกองทุนรวมโจทก์เสียไป และที่ประกาศข้อ 2 กำหนดไว้อีกว่า ต้องเป็นกองทุนรวมที่มีลักษณะต่อไปนี้ (1) มีผู้ถือหน่วยลงทุนทั้งหมดเป็นผู้ลงทุนสถาบันซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ราย… (4) มีผู้ถือหน่วยลงทุนรายใดรายหนึ่งถือหน่วยลงทุนได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และข้อ 5 กำหนดว่า ให้บริษัทจัดการยุติการจำหน่ายหน่วยลงทุนและให้ถือว่าการอนุมัติจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมนั้นสิ้นสุดลง หากครบกำหนดระยะเวลาการเสนอขายหน่วยลงทุนซึ่งต้องไม่เกิน 6 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับอนุมัติจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมแล้วปรากฏว่า (1) ไม่สามารถจำหน่ายหน่วยลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันได้ตามจำนวนที่กำหนดในข้อ 2 (1) แต่ตามประกาศข้อ 21 ก็ได้กำหนดยกเว้นว่า ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นและสมควร สำนักงานคณะกรรมการ กลต. อาจพิจารณาผ่อนผันการปฏิบัติตามข้อ 2 (1) (4) และ ข้อ 13 ได้ เช่นนี้ สำนักงานคณะกรรมการ กลต. จึงมีอำนาจที่จะพิจารณาให้มีการผ่อนปรนให้โจทก์มีผู้ถือหน่วยลงทุนเพียง 2 ราย ผู้ถือหน่วยลงทุนรายหนึ่งถือหุ้นเกินร้อยละ 10 ได้ ตามที่เห็นว่ามีเหตุจำเป็นและสมควร และเมื่อได้รับการผ่อนปรนเงื่อนไขตามข้อ 2 (1) (4) แล้ว บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด ก็ไม่จำต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดตามประกาศข้อ 5 อีก สำนักงานคณะกรรมการ กลต. รับจดทะเบียนกองทุนรวมโจทก์โดยชอบแล้ว โจทก์จึงเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 124 วรรคสอง และหาได้สิ้นสุดสภาพลงตามข้อกำหนดข้อ 5 ไม่ ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาอีกว่า โจทก์ไม่ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากบริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด ในหนี้ที่มีต่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เพราะไม่ปฏิบัติตามข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ที่ระบุว่า หากผู้ชนะการประมูลต้องการเสนอให้ผู้อื่นลงนามในสัญญาขายแทน ผู้ชนะการประมูลจะต้องระบุชื่อพร้อมกับยื่นเอกสารของผู้ที่จะลงนามในสัญญาขายตามที่ระบุไว้ในรายละเอียดเอกสารเพิ่มเติมมายังองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ภายใน 2 วันทำการ นับจากวันประมูล ขณะนั้นโจทก์ยังไม่เป็นนิติบุคคลนั้น เห็นว่า ตามประกาศ ปรส. เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการขายสินทรัพย์หลักของสถาบันการเงินที่ไม่อาจแก้ไขหรือฟื้นฟูฐานะหรือดำเนินงานได้จำนวน 56 บริษัท ที่กำหนดว่า หากผู้ชนะการประมูลต้องการโอนสิทธิที่จะทำสัญญาขายมาตรฐานให้แก่ผู้อื่น ผู้ชนะการประมูลจะต้องให้การค้ำประกันที่ไม่อาจถอนได้ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำสัญญาขายมาตรฐาน บริษัทเงินทุน เกียรตินาคิน จำกัด ย่อมมีสิทธิโอนสิทธิที่จะทำสัญญาขายมาตรฐานให้แก่โจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยชอบในวันทำสัญญาขายเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 แล้วได้ ส่วนข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ในเรื่องของกำหนดเวลาที่ต้องกระทำเสียภายใน 2 วันทำการ นับจากวันประมูล เป็นเพียงระเบียบที่ ปรส. กำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกและความเป็นระเบียบในการประมูล หาใช่เป็นบทกฎหมายที่หากไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนแล้วจะมีผลทำให้นิติกรรมต้องตกเป็นโมฆะไม่ การที่ ปรส. ไม่ยึดถือข้อสนเทศการจำหน่ายทรัพย์ที่เกี่ยวกับวันเวลาตามที่บริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด โอนสิทธิที่จะทำสัญญาขายให้แก่โจทก์เกินกำหนดเวลา 2 วันทำการ นับจากวันประมูล โดยบริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด ประมูลซื้อได้วันที่ 10 พฤศจิกายน 2542 และโจทก์เข้าทำสัญญาขายกับ ปรส. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ตามสำเนาสัญญาขาย จึงไม่มีผลทำให้สัญญาขายเสียไป และการที่โจทก์เข้าทำสัญญาซื้อขาย โดยที่ไม่ได้เข้าประมูลแข่งขัน ก็ไม่เป็นการขัดต่อพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 30 วรรคห้า ที่บัญญัติว่า “การขายทรัพย์สินเพื่อการชำระบัญชีของบริษัทนั้น ให้เปิดประมูลโดยเปิดเผย หรือแข่งขันราคาตามวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด…” เพราะข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ เป็นระเบียบที่ออกมาเพื่อเป็นข้อปฏิบัติภายหลังจากที่มีการประมูลซื้อทรัพย์สินเปิดประมูลโดยเปิดเผยตามพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 30 วรรคห้า แล้ว กับปรากฏตามสำเนาสัญญาขาย ว่า ในการทำสัญญาขายระหว่าง ปรส. กับโจทก์ บริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด ได้เข้าร่วมลงนามในสัญญาขาย ตามเอกสารแนบท้าย ก ข ค และ จ อันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาขายด้วย ตามสัญญาขาย ข้อ 13 (5) และยังทำสัญญาค้ำประกันชนิดเพิกถอนไม่ได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำสัญญาขายระหว่าง ปรส. กับโจทก์ จึงถือได้ว่าบริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด โอนสิทธิเรียกร้องให้แก่โจทก์โดยทำเป็นหนังสือ ซึ่งสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 แล้ว ส่วนปัญหาว่า ปรส. ขายทรัพย์สินเพื่อการชำระบัญชีบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ตามพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 7 (3) ประกอบมาตรา 30 วรรคห้า หรือไม่ เป็นเรื่องภายหลังที่ ปรส. จะได้ดำเนินการต่อไป หาได้มีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ในสินทรัพย์ซึ่งรับโอนสิทธิมาจากบริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด ผู้ชนะการประมูลไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สำหรับประเด็นว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นหนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 13 มีนาคม 2540 จำนวนเงิน 7,000,000 บาท เพราะไม่ปรากฏหลักฐานว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) อนุมัติให้กู้เงินและจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้นำสืบถึงมูลหนี้ที่แท้จริงไม่ได้นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้ว่า ไม่ได้เป็นหนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราซึ่งขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะทั้งหมด เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2540 จำเลยที่ 1 ชำระไปแล้ว 115,643.84 บาท และวันที่ 24 ธันวาคม 2544 ชำระให้อีก 3,600,000 บาท รวมชำระแล้ว 3,715,643.84 บาท เมื่อหักเงินต้น 7,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 2 มีหนี้ที่ต้องชำระแก่โจทก์เพียง 3,284,356.16 บาท ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ไม่ได้ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ถึงกำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นหนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 13 มีนาคม 2540 จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง จึงไม่รับวินิจฉัยให้ ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาในข้อสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่แจ้งชัดว่าจะให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน สัญญากู้เงิน สัญญาจำนองหรือการรับสภาพหนี้ และโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 1 จำนองห้องชุดจำนวน 4 ห้อง แต่เงื่อนไขของสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ กลับระบุมีการจำนองห้องชุดเพียง 2 ห้อง คือ เลขที่ 592/434 และ 592/437 คำฟ้องโจทก์ไม่เป็นการยืนยันไปในทางใดทางหนึ่งและขัดแย้งกันเองนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า เดิมจำเลยที่ 1 ขอกู้ยืมเงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 และนายถนอมเป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาวันที่ 13 มีนาคม 2540 จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 226/40 สัญญาจะจ่ายเงิน 7,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี และดอกเบี้ยผิดนัดยอมเสียอัตราร้อยละ 30 ต่อปี ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) แล้วผิดนัด ต่อมา ป.ร.ส. เข้าควบคุมกิจการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และนำทรัพย์สินรวมทั้งหนี้ที่มีต่อจำเลยทั้งสี่ออกจำหน่ายและโจทก์ชนะการประมูล จึงได้สิทธิเรียกร้องที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีต่อจำเลยทั้งสี่ทั้งหมด อันเป็นการแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้วว่า เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน สัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันตามที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ค้างชำระอยู่แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้เดิม และการที่โจทก์กล่าวถึงสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ก็เพื่อสนับสนุนว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ยอมรับการเป็นหนี้ดังกล่าวและจะขอผ่อนปรนข้อกำหนดในการชำระให้แก่โจทก์ เพราะไม่สามารถที่จะชำระหนี้เสร็จในคราวเดียวเท่านั้น แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ก็ไม่ได้ชำระหนี้ ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ จึงต้องกลับคืนตามหลักการเดิม หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชำระหนี้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่โจทก์ไม่ ส่วนที่สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กล่าวถึงหลักทรัพย์จำนองไม่ตรงกับที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ก็มิได้เกี่ยวกับสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 10,000 บาท แทนโจทก์