คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1562/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อพยานบุคคลของโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความแตกต่างขัดกันเองเป็นพิรุธโดยโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน พฤติการณ์ของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมจึงเป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจริงหรือไม่สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นจำคุก 6 เดือนเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และความผิดฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน การที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับความผิดฐานนี้ขึ้นมาแม้จะต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม ศาลฎีกาจึงมีอำนาจจะยกฟ้องในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวได้ด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายปราโมทย์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น ส่วนข้อหามีและพาอาวุธปืนโจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหาย จึงไม่อนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 12 ปี ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 13 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษของจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงให้จำคุกจำเลย รวม 13 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยและนายอดิศักดิ์ ไปงานศพนายโหนด ที่วัดศรัทธาธรรมที่เกิดเหตุ ระหว่างอยู่ในงานศพโจทก์ร่วมนั่งอยู่ในเต็นท์หน้าศาลาที่ตั้งศพนายโหนด ต่อมาขณะที่นายอรุณ กอดคอจำเลยเดินผ่านเต็นท์มาทางด้านหลังโจทก์ร่วม แล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมที่บริเวณหลังและหัวไหล่ขวาเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงโจทก์ร่วมหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วม นายวินัย พี่ชายโจทก์ร่วม นายสัญญา นายเคลื่อน บิดาโจทก์ร่วม และนายอรุณ ลูกพี่ลูกน้องโจทก์ร่วมเป็นพยาน โดยโจทก์ร่วมเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์ร่วมเดินไปที่ศาลาที่ตั้งศพเห็นนายวินัยพี่ชายโจทก์ร่วมเดินกอดคอจำเลยพร้อมกับพูดว่าไปคุยกันข้างนอก โจทก์ร่วมเข้าใจว่าน่าจะมีปัญหากันจึงเดินตามไปด้วย ห่างจากศาลาที่ตั้งศพประมาณ 15 เมตร นายวินัยกับจำเลยยืนพูดคุยกัน โจทก์ร่วมจึงเดินไปนั่งในเต็นท์ที่เกิดเหตุ ต่อมานายวินัยกับจำเลยเดินไปที่ศาลาที่ตั้งศพ สักครู่หนึ่งจำเลยเดินกอดคอมากับนายอรุณ มาทางด้านขวาที่โจทก์ร่วมนั่งอยู่ในเต็นท์ผ่านด้านหลังโจทก์ร่วมไปประมาณ 1 นาที ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ทางด้านหลังโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมถูกกระสุนปืนที่ด้านหลังล้มลง แต่นายวินัยและนายสัญญากลับเบิกความว่าในงานศพมีการเลี้ยงสุราและร้องเพลง ขณะที่พยานทั้งสองนั่งดื่มสุราและร้องเพลงอยู่ที่ศาลาที่ตั้งศพ จำเลยและนายอดิศักดิ์เข้ามานั่งดื่มสุราและร่วมร้องเพลงโดยโจทก์ร่วมนั่งอยู่ด้วยประมาณครึ่งชั่วโมง โจทก์ร่วมพูดกับจำเลยว่าเมาแล้วให้กลับไปนอน นายวินัยลุกขึ้นเดินออกไปปัสสาวะที่ด้านหลังศาลาที่ตั้งศพ จำเลยเดินตามไปและพูดคุยกับนายวินัยนายสัญญาที่นั่งอยู่ที่เดิม หลังจากนั้นนายวินัยกลับมานั่งที่เดิม ส่วนจำเลยไปไหนไม่ทราบประมาณ 5 นาที ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด มาทางเต็นท์ที่เกิดเหตุ หันไปดูเห็นโจทก์ร่วมนอนอยู่ที่พื้น เห็นว่า คำเบิกความของโจทก์ร่วมไม่ปรากฏเลยว่าก่อนเกิดเหตุโจทก์ร่วมนั่งอยู่ด้วย ในขณะที่นายวินัย นายสัญญา จำเลย และนายอดิศักดิ์ นั่งดื่มสุราและร้องเพลงกันอยู่ที่ศาลาที่ตั้งศพ และโจทก์ร่วมไม่ได้พูดกับจำเลยว่าเมาแล้วให้กลับไปนอนกลับได้ความจากโจทก์ร่วมเองว่าขณะที่โจทก์ร่วมเดินไปที่ศาลาที่ตั้งศพ เห็นนายวินัยเดินกอดคอจำเลยพร้อมกับพูดว่าไปคุยกันข้างนอก โจทก์ร่วมเข้าใจว่าน่าจะมีปัญหาจึงเดินตามไปด้วย นายวินัยกับจำเลยยืนคุยกัน โจทก์ร่วมจึงเดินไปนั่งที่เต็นท์ คำเบิกความของโจทก์ร่วม นายวินัยและนายสัญญาแตกต่างขัดกันเอง เป็นพิรุธว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยมีปัญหากับโจทก์ร่วมหรือนายวินัยจริงหรือไม่ นายเคลื่อนก็เบิกความแตกต่างจากโจทก์ร่วม นายวินัยและนายสัญญา โดยเบิกความว่าขณะที่พยานนั่งอยู่ในเต็นท์ที่เกิดเหตุห่างจากศาลาที่ตั้งศพประมาณ 10 เมตร เห็นนายวินัย จำเลยและบุคคลอื่นอีกประมาณ 4 ถึง 5 คน ออกจากเต็นท์ที่เกิดเหตุไปปัสสาวะ สักครู่หนึ่งเห็นจำเลยเดินผ่านเต็นท์ไปได้ประมาณ 2 เมตรแล้วเดินกลับมาใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมซึ่งนั่งอยู่ในเต็นท์ทางด้านขวาของพยานและนายอรุณเบิกความว่า ขณะที่พยานนั่งอยู่ที่ศาลาที่ตั้งศพ จำเลยเดินมาบอกพยานว่าเจ้าภาพจะรบ พยานบอกว่าเจ้าภาพไม่รบจะไปพูดคุยให้ พยานจึงกอดคอจำเลยเดินไปด้วยกันในเต็นท์ซึ่งโจทก์ร่วมนั่งอยู่ห่างกันประมาณ 2 เมตร มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด โดยจำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงไปที่โจทก์ร่วม กระสุนปืนถูกที่บริเวณด้านหลังโจทก์ร่วมล้มลง พยานตกใจวิ่งหนีกลับบ้าน เมื่อพิจารณาแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุแล้ว เต็นท์ที่โจทก์ร่วมนั่งอยู่ในขณะเกิดเหตุตั้งอยู่หน้าศาลาที่ตั้งศพโดยโจทก์ร่วมนั่งอยู่ตรงจุดหมายเลข 1 นายเคลื่อน นั่งอยู่ตรงจุดหมายเลข 2 ซึ่งนั่งอยู่หน้าโจทก์ร่วม แสดงว่าขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมและนายเคลื่อนต่างนั่งหันหน้าไปทางศาลาที่ตั้งศพและจุดที่มีการยิงอยู่ตรงหมายเลข 3 ซึ่งอยู่ด้านหลังที่โจทก์ร่วมนั่งอยู่กระสุนปืนจึงถูกบริเวณหลังและหัวไหล่ขวาของโจทก์ร่วม นายเคลื่อนเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าพยานนั่งหันหน้าไปทางด้านเดียวกับโจทก์ร่วม แต่กลับเบิกความตอบโจทก์ถามติงว่าขณะจำเลยเดินผ่านหลังโจทก์ร่วมและใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมพยานหันไปดู จากคำเบิกความของพยานทั้งห้าปากได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุนายวินัย นายสัญญา และนายอรุณ ต่างนั่งอยู่ที่ศาลาที่ตั้งศพ ส่วนโจทก์ร่วมและนายเคลื่อนนั่งอยู่ในเต็นท์ที่เกิดเหตุหันหน้าไปทางศาลาที่ตั้งศพ พยานต่างไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน และก่อนเกิดเหตุจำเลยกับนายอดิศักดิ์เข้าไปในงานศพโดยไปนั่งร่วมดื่มสุราและร้องเพลงอยู่ที่ศาลาที่ตั้งศพกับนายวินัยและพวกเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ใดในงานอันจะเป็นจุดสนใจให้ผู้ที่อยู่ในงานหันไปมองจุดที่ผู้คนสนใจหันไปมองในงานน่าจะอยู่ที่ ศาลาที่ตั้งศพซึ่งมีการร้องเพลงกันมากกว่าทางด้านหลังเต็นท์ที่เกิดเหตุ ไม่มีพฤติการณ์พิเศษใดเกิดขึ้นที่จะทำให้นายเคลื่อนต้องหันหลังกลับไปมองส่วนคำเบิกความของนายอรุณหากจำเลยเข้าไปบอกพยานซึ่งนั่งอยู่ที่ศาลาที่ตั้งศพจริง เหตุใดจะต้องกอดคอจำเลยเดินไปทางด้านหลังเต็นท์ที่เกิดเหตุด้วย ทั้งๆ ที่เจ้าภาพต่างนั่งอยู่ที่ศาลาที่ตั้งศพและในเต็นท์ที่เกิดเหตุซึ่งพยานสามารถพาจำเลยเข้าไปพูดคุยกับเจ้าภาพได้เลยในทันทีนายอรุณเองก็เบิกความว่าก่อนเกิดเหตุไม่เห็นอาวุธปืนของจำเลย พยานใช้มือขวากอดคอจำเลยเดินไปด้วยแต่พยานกลับเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าจำไม่ได้ว่าจำเลยใช้มือข้างไหนถืออาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมและขณะที่จำเลยลดอาวุธปืนลง จำเลยไม่ได้ว่าจำเลยถืออาวุธปืนข้างไหน ทั้งๆ ที่พยานอยู่ใกล้ชิดกับจำเลยและใช้มือขวากอดคอจำเลยไว้คำเบิกความของนายอรุณเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งในเรื่องนี้จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าขณะที่อยู่ในงานศพ นายวินัยพูดถึงเรื่องนายอดิศักดิ์แต่งกายชุดลายพรางเข้ามาในงานศพว่าไม่เหมาะสม จำเลยพูดว่าเจ้าภาพไม่น่าพูดอย่างนั้น แล้วนายอรุณพูดท้าทายหาเรื่องจำเลยจำเลยจึงชวนนายอดิศักดิ์กลับบ้าน ระหว่างเดินกลับไปที่รถนายอรุณเดินมากอดคอจำเลยแล้วใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นจี้ที่เอวจำเลย จำเลยปัดกระบอกปืนแล้วกระสุนปืนสั่นขึ้น 1 นัด จากนั้นมีคนเข้ามารุมทำร้ายจำเลย จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมมาก่อน ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะต้องใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม ขณะเกิดเหตุมีเสียงปืนดังขึ้นนายอรุณก็กอดคอจำเลยอยู่ ทั้งนายอรุณก็มีศักดิ์เป็นหลานของนายเคลื่อนนายเคลื่อนอาจจะเบิกความเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงบางอย่างก็ได้ กรณีจึงเป็นไปได้ตามที่จำเลยนำสืบต่อสู้ประกอบกับพันตำรวจโทธีรพล พนักงานสอบสวนเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะตรวจที่เกิดเหตุชาวบ้านนำอาวุธปืน 2 กระบอกมามอบให้แจ้งว่าได้อาวุธปืนมาจากจำเลยและนายอดิศักดิ์ แต่ไม่ได้สอบปากคำชาวบ้านคนดังกล่าวไว้ ทั้งๆ ที่ชาวบ้านคนดังกล่าวอาจเป็นพยานคนกลางที่ไม่มีส่วนเสียกับฝ่ายใดให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และอาวุธปืนของกลางที่อ้างว่าจำเลยใช้ยิงเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนแต่ไม่ใช่ของจำเลย นอกจากนี้ในทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่ปรากฏว่ามีการตรวจพิสูจน์หาเขม่าดินปืนที่มือจำเลยและลายพิมพ์นิ้วมือแฝงที่อาวุธปืนของกลางที่อ้างว่าจำเลยใช้ยิงเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่จำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด โจทก์ร่วม นายเคลื่อน นายวินัยและนายอรุณต่างเป็นญาติพี่น้องกันอาจเบิกความบิดเบือนความจริงบางอย่างเพื่อช่วยเหลือกันได้ และยังเบิกความแตกต่างขัดกันเองเป็นพิรุธ นอกจากพยานบุคคลแล้วโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน พฤติการณ์ของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมจึงเป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจริงหรือไม่ สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นจำคุก 6 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และความผิดฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน การที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับความผิดฐานนี้ขึ้นมา แม้จะต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ก็ตามแต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม ศาลฎีกาจึงมีอำนาจจะยกฟ้องในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวได้ด้วยเพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยข้ออื่นๆ ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงสำหรับของกลางเป็นทรัพย์ที่คนร้ายใช้กระทำความผิดจึงต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1)”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ริบของกลาง

Share