แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทมี ส.ค.1 เป็นมรดก โจทก์และจำเลยต่างเป็นทายาทชั้นหลานของเจ้ามรดก เมื่อเจ้ามรดกตาย มารดาโจทก์ พี่ชายโจทก์และโจทก์ได้เข้าไปปลูกบ้านในที่ดินพิพาทและเก็บเงินค่าเช่าบ้านพักที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทมาบำรุงรักษาและซ่อมแซมบ้านดังกล่าว อันเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น แต่เมื่อจำเลยเตือน ขอให้มารดาโจทก์แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ทายาท มารดาโจทก์ไม่ยอมแบ่งให้และว่า ถ้าอยากได้ก็ให้ไปฟ้องเอาเอง และมารดาโจทก์ก็จัดการชำระภาษีโรงเรือนและภาษีที่ดินในนามของตนเอง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่ามารดาโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนเองแล้ว หาใช่เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นไม่ ทั้งไม่ปรากฏว่าได้มีทายาทคนหนึ่งคนใดดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้แต่อย่างใดสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงตกอยู่แก่มารดาโจทก์แล้วเมื่อมารดาโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งเป็นบุตรและเป็นทายาทก็เข้าครอบครองต่อและเสียภาษีที่ดินและภาษีโรงเรือนในนามของโจทก์ทั้งโจทก์ยังได้ฟ้องขับไล่ทายาทอื่นให้ออกจากห้องแถวซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทอีกด้วย ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของโจทก์แล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค.1 ได้ยื่นคำขอรังวัดเพื่อออกโฉนด จำเลยได้คัดค้านคำขอของโจทก์โดยไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยถอนคำคัดค้าน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของ น. โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตน จำเลยคัดค้านในฐานะเป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยถอนคำคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินพิพาทหากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษานี้เป็นการแสดงเจตนาของจำเลยในการถอนคำคัดค้าน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน ส.ค.1 และเป็นมรดกของนายนิ่มสุวรรณชูโต โจทก์จำเลยต่างเป็นทายาทชั้นหลายของเจ้ามรดก มารดาโจทก์พี่ชายโจทก์และตัวโจทก์ได้เข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทและเก็บเงินค่าเช่าบ้านพักที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทมาบำรุงรักษาและซ่อมแซมบ้านพิพาทดังกล่าวตลอดมาจนกระทั่งมารดาและพี่ชายโจทก์ถึงแก่กรรมโจทก์ก็ยังครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แม้จำเลยจะนำสืบว่า นางกิมลุ้ยมารดาโจทก์จะขอเข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทเพื่อดูแลแทนนายจ้ายสุวรรณโต ผู้จัดการมรดกของนายนิ่ม อันเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นก็ตาม แต่จำเลยกลับเบิกความว่า หลังจากที่ นาง ประเทือง สารวิวัฒน์ถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายนิ่ม สุวรรณชูโต ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 920/2524 ของศาลชั้นต้น เอกสารหมาย ล.2 แล้วบรรดาทายาทจะไปตกลงแบ่งกันเอง แต่นางกิมลุ้ย ไม่ยอมแบ่งให้กับทายาททุกคน และเมื่อจำเลยเตือนเร่งรัดเข้า นางกิมลุ้ย ว่า ถ้าอยากได้ก็ให้ไปฟ้องเอาเอง คำกล่าวเช่นนี้ของนางกิมลุ้ย แสดงว่า นางกิมลุ้ยไม่เจตนาที่จะยึดถือที่ดินพิพาทแทนทายาทอื่นอีกต่อไปแล้ว หลังจากนี้จากนางกิมลุ้ย ก็จัดการชำระภาษีโรงเรือนและภาษีที่ดินในนามของนางกิมลุ้ย เอง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่านางกิมลุ้ย ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนเองแล้วหาใช่เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นไม่ ทั้งไม่ปรากฏว่าหลังจากที่นางกิมลุ้ย แย่งการครอบครองแล้วได้มีทายาทคนหนึ่งคนใดดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้แต่อย่างใด สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงตกอยู่แก่นางกิมลุ้ย แล้ว เมื่อนางกิมลุ้ย ถึงแก่กรรม โจทก์ซึ่งเป็นบุตรและเป็นทายาทของนางกิมลุ้ย ก็เข้าครอบครองต่อและเสียภาษีที่ดินและภาษีโรงเรือนในนามของโจทก์ ยิ่งไปกว่านั้นการที่โจทก์ฟ้องขับไล่นางประมวล สุรรณชูโต ซึ่งเป็นหลานของนายนิ่มและทายาทของนายนิ่มให้ออกจากห้องแถวซึ่งอยู่บนที่ดินพิพาท ซึ่งในคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นก็ฟังว่าที่ดินและห้องแถวพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แล้วขับไล่นางประมวล สุวรรณชูโต ออกจากห้องพิพาท ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 390/2529 ของศาลชั้นต้น ซึ่งแสดงว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของตนเองโดยสงบและเปิดเผยมาโดยตลอดที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของโจทก์แล้ว แม้จำเลยจะเป็นผู้จัดการมรดกของนายนิ่มตามคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 160/2529ก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ดินพิพาทตกเป็นสิทธิของโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้สิทธิครอบครองแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.