แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทขอให้ขับไล่ จำเลยให้การตอนแรกอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยโจทก์ยกให้ แต่ให้การตอนหลังว่า หากที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยก็ครอบครองมากว่า 20 ปีแล้ว จึงพ้นกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เช่นนี้เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งและขัดแย้งกันเองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง แต่เป็นคำให้การที่เข้าใจได้ว่า จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์โดยสิ้นเชิง คดีจึงยังมีประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในข้อนี้และศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ประเด็นที่ว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่นั้นศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2529 โจทก์ได้ยื่นคำขอเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) จำเลยได้คัดค้านโดยอ้างว่าที่ดินส่วนที่จำเลยอาศัยปลูกบ้านอยู่เป็นของจำเลย และจำเลยได้ออก น.ส.3 ก. เนื้อที่1 งาน 61 ตารางวา เป็นของจำเลยแล้ว ซึ่งเป็นการทับที่ดินของโจทก์โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมออก ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ใช้สอยในที่ดินคิดเป็นค่าเช่าเดือนละ 200 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ซึ่งออกทับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 200 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. เป็นของจำเลยโดยโจทก์ยกให้จำเลยเมื่อ 20 ปีเศษมาแล้ว จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินและปลูกบ้านอยู่อาศัยตลอดมาจนบัดนี้ซึ่งทางราชการได้ออก น.ส.3 ก.ให้แก่จำเลยโดยถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง หากที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ จำเลยก็ครอบครองทำกินมากว่า 20 ปีแล้วจึงพ้นกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทซึ่งมี น.ส.3 จำเลยได้เข้ามาขอปลูกเรือนอยู่อาศัย แล้วจำเลยได้ไปขอออก น.ส.3 ก. ในที่พิพาท ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยให้การในตอนแรกอ้างว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยโจทก์ยกให้จำเลยเมื่อ 20 ปีเศษมาแล้ว และจำเลยได้เข้าครอบครองทำกินและปลูกเรือนอยู่อาศัยตลอดมาซึ่งทางราชการได้ออก น.ส.3 ก.ให้แก่จำเลยแล้วแต่จำเลยกลับให้การตอนหลังว่า หากที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยก็ครอบครองทำกินมากว่า 20 ปีแล้ว จึงพ้นกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 คำให้การของจำเลยเช่นนี้เป็นการไม่ชัดแจ้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยหรือของโจทก์และเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง แต่คำให้การของจำเลยเป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์โดยสิ้นเชิงคดีจึงยังมีประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ โจทก์ยังคงต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้องจึงจะชนะคดีได้ แต่คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในข้อนี้และศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ส่วนประเด็นที่ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้ว ฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
พิพากษายืน