คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2547

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยให้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ เป็นคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานซึ่งเป็นคดีแรงงานอันเป็นคดีแพ่งประเภทหนึ่ง แม้จำเลยจะให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ได้ลักทรัพย์ของจำเลยอันมีมูลความผิดอาญาอยู่ด้วย ก็มิใช่ข้ออ้างที่จะมีผลให้มีการพิจารณาลงโทษโจทก์ในการกระทำผิดอาญาเพียงแต่อ้างเพื่อปฏิเสธไม่ต้องรับผิดในคดีแรงงานเท่านั้น หาทำให้กลายเป็นคดีอาญาไปไม่ การพิจารณาคดีนี้จึงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่อาจนำหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 และ 227 มาใช้บังคับได้การที่ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงโดยวิธีการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 จึงชอบแล้ว
โจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยอันเป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(1) จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2542 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 59,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนต่อมาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2544 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์กระทำการทุจริตลักทรัพย์ในโรงงานของจำเลย อันเป็นการกระทำความผิดอาญาทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งไม่เป็นความจริงจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 1 ถึง 12เมษายน 2544 และไม่จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตลอดจนค่าชดเชย ทั้งเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2543 จำเลยตัดค่าจ้างโจทก์เนื่องจากลากิจ ซึ่งเป็นการตัดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเงิน 14,934 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 96,367 บาท ค่าเสียหายจำนวน 254,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ค่าจ้างจำนวน 38,534 บาทค่าชดเชยจำนวน 177,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 12เมษายน 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ในระหว่างที่โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยนั้นโจทก์ใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำผิดต่อกฎหมายอาญาและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรง โดยในวันที่ 6 เมษายน 2544 โจทก์ใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปในโรงงานของจำเลยและลักเอาวัตถุที่ใช้ผลิตสินค้ารวมทั้งแผนผังการผลิตสินค้าของจำเลยไป ในการลักทรัพย์นั้นโจทก์ทำร้ายพนักงานรักษาความปลอดภัยและขับรถชนประตูรั้วโรงงานของจำเลยเสียหายเพื่อหลบหนี อีกทั้งระหว่างที่โจทก์ทำงานกับจำเลย โจทก์จงใจก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยด้วยการลักเอาวัตถุดิบในการผลิตสินค้ารวมทั้งแผนผังในการผลิตสินค้าของจำเลยไปหลายครั้ง ต่อมาในวันที่ 7 เมษายน 2544 โจทก์ไม่กลับไปทำงานโดยเจตนาออกจากการเป็นลูกจ้าง จำเลยจึงมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน2544 จำเลยพร้อมจ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 1 ถึง 6 เมษายน 2544 ให้แก่โจทก์ แต่การกระทำของโจทก์ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย ตลอดจนค่าเสียหายจากจำเลย ทั้งตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้ลูกจ้างลากิจได้ไม่เกินปีละ 3 วัน ในปี 2543 โจทก์ลากิจเกิน 3 วัน จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันลากิจที่เกิน 3 วัน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์จำนวน 9,833.33 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 เมษายน 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่าเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จำเลยให้การรับว่าเลิกจ้างโจทก์แต่ยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยอันเป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้างจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์ ภาระการพิสูจน์ว่าโจทก์กระทำผิดอาญาหรือไม่จึงตกแก่จำเลย โดยจำเลยจะต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบให้ฟังข้อเท็จจริงได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่าได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น และโจทก์เป็นผู้กระทำผิดอาญานั้นจึงจะลงโทษโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 174 และ 227 แต่ศาลแรงงานกลางกลับวินิจฉัยคดีนี้ด้วยการพิจารณาพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายโดยวิธีการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 แล้ววินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ เชื่อว่าโจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยนั้นเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามฟ้องให้แก่โจทก์ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ อันเป็นคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานซึ่งเป็นคดีแรงงานอันเป็นคดีแพ่งประเภทหนึ่ง แม้จำเลยจะให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ได้ลักทรัพย์ของจำเลยอันมีมูลความผิดอาญาอยู่ด้วยก็ตาม ก็มิใช่ข้ออ้างที่จะมีผลให้มีการพิจารณาลงโทษโจทก์ในการกระทำผิดอาญาเพียงแต่อ้างเพื่อปฏิเสธไม่ต้องรับผิดในคดีแรงงานเท่านั้น การให้การต่อสู้เช่นนี้ หาทำให้คดีนี้กลับกลายเป็นคดีอาญาไปไม่ การพิจารณาคดีนี้จึงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในกรณีที่มิได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 เป็นอย่างอื่น จึงไม่อาจนำหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 และ 227 อันเป็นวิธีพิจารณาคดีอาญามาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ การที่ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงโดยวิธีการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 104 นั้น จึงชอบแล้ว เมื่อศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยอันเป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(1) จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์คำพิพากษาศาลแรงงานกลางจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share