คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องและขอให้ยึด อายัดทรัพย์จำเลยชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลอนุญาต ต่อมาศาลสั่งให้ยกเลิกคำสั่งนี้ตามที่จำเลยร้องขอ ดังนี้ โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้ว ไม่มีการขายหรือจำหน่าย โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดตามตาราง 5(3)
การที่ศาลอนุญาตให้ถอนหมายยึดตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 261 นั้น เป็นเรื่องที่ศาลอนุญาตให้ถอนหมายยึดเท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งได้ดำเนินการยึดไปแล้ว โจทก์ยังมีหน้าที่ต้องเสียอยู่
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 149 เมื่อโจทก์เป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์สินของจำเลยแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้โจทก์เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนและตั้งผู้ชำระบัญชี และร้องขอให้ศาลยึดและอายัดทรัพย์สินจำเลยในกรณีมีเหตุฉุกเฉินก่อนพิพากษาศาลอนุญาต
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ไม่เคยเป็นหุ้นส่วนกับจำเลย และร้องขอให้ถอนการยึดและอายัด ศาลขั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งให้ยกเลิกคำสั่งที่ให้ยึดหรืออายัดนั้นเสีย และให้โจทก์นำค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลภายใน ๓๐ วัน
ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกัน และศาลพิพากษาตามยอม
โจทก์ไม่นำค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีมาชำระ ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แถลงภายใน ๗ วัน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์อุทธรณ์พ้นกำหนด ๑ เดือนนับแต่วันศาลมีคำสั่ง จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์สั่งว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๐๖ โจทก์อุทธรณ์วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๐๘ อยู่ในระยะเวลา ๑ เดือน และอุทธรณ์ไม่ต้องห้าม ให้รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละสามครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดชอบแล้ว แต่ที่ศาลชั้นต้นให้โจทก์ชำระร้อยละสามครึ่งของจำนวนเงินที่ยึดหรืออายัดหรือราคาทรัพย์สินที่อายัดไม่ชอบ เพราะตามตาราง ๕(๕) ให้เรียกร้อยละหนึ่ง จึงพิพากษาแก้ให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละหนึ่งของจำนวนเงินที่ได้ยึดหรืออายัดหรือราคาทรัพย์สินที่อายัดไว้แล้ว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าการยึดทรัพย์ตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามิได้เป็นการบังคับคดีเพื่อขายทอดตลาดทรัพย์ โจทก์จึงไม่ควรต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าวิธีการชั่วคราวก่อนคำพิพากษาและการบังคับตามคำพิพากษาก็อยู่ในภาค ๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งด้วยกัน และมาตรา ๒๕๙ ก็ให้นำบทบัญญัติลักษณะ ๒ แห่งภาค ๔ ว่าด้วยการบังคับคดีมาใช้บังคับแก่วิธีการชั่วคราวโดยอนุโลม ฉะนั้น เมื่อศาลสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์สินไม่ว่าโดยวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาหรือการบังคับคดีตามคำพิพากษา ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง ๕
ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลให้ยกเลิกคำสั่งที่ให้ยึดทรัพย์สินตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา จึงเท่ากับไม่มีการยึดทรัพย์มาก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอนุญาตให้ถอนหมายยึดตามคำขอของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๑ เท่านั้น ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งได้ดำเนินการยึดไปแล้ว โจทก์ยังมีหน้าที่ต้องเสียอยู่
ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่มีมาตราใดให้ศาลมีอำนาจสั่งเรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละสามครึ่งจากโจทก์ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามมาตรา ๑๔๙ ค่าธรรมเนียมศาลในศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณาให้คู่ความผู้ดำเนินกระบวนพิจารณานั้น ๆ เป็นผู้ชำระ เมื่อโจทก์เป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์สินของจำเลยแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้โจทก์เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง ๕ ได้
พิพากษายืน.

Share