แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากโกดังโดยกล่าวว่า จำเลยได้เช่าโกดังจากเจ้าของเดิม ครบอายุสัญญาเช่าแล้วโจทก์ได้ซื้อโกดังจากเจ้าของเดิม ดังนี้จำเลยย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ และโจทก์ฟ้องจำเลยได้โดยอาศัยอำนาจทางกรรมสิทธิ์เป็นหลัก ไม่ได้อาศัยสัญญาเช่า
นิติบุคคลเช่าสถานที่ให้พนักงานของนิติบุคคลอยู่ ย่อมถือว่าเป็นกิจการส่วนหนึ่งเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ในทางการค้าของนิติบุคคล จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ
อ้างฎีกาที่ 82/2494 จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อทรัพย์สินรายนี้จริงหรือไม่จำเลยไม่ทราบ ดังนี้ถือว่าไม่ใช่คำให้การปฏิเสธ จึงไม่มีประเด็นที่โจทก์จะต้องสืบถึงความข้อนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เช่าตึกโกดังจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีมีกำหนด ๑ ปี ต่อมาเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ได้ซื้อที่ดินรวมทั้งโกดังรายนี้จากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และแจ้งให้จำเลยทราบการซื้อขายแล้ว โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลย ๆ และบริวารไม่ยอมออกจากตึกโกดัง จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะสัญญาเช่าใช้ไม่ได้ตาม ก.ม. จำเลยยังมีอำนาจเช่าอยู่ต่อไป และจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยอำนาจทางกรรมสิทธิเป็นหลัก การที่โจทก์อ้างสัญญาเช่ามาในคำฟ้องเพื่อแสดงพฤติการณ์ที่จำเลยได้เข้าอยู่ในที่เช่าโดยการเช่าจากเจ้าของเดิม แม้สัญญาเช่าจะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วน บัดนี้ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ต่อไป เพราะสัญญาเช่าสิ้นอายุและมิได้ต่ออายุสัญญาเช่าเดิมนั้น กับจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าหาใช่อาศัยอำนาจตามสัญญาเช่าเป็นหลักในการขอขับไล่ไม่
จำเลยฎีกาว่า จำเลยเช่าสถานที่เช่าให้พนักงานของจำเลยอยู่อาศัย ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลประกอบธุระกิจการค้าเช่าสถานที่ให้พนักงานของจำเลยอยู่อาศัย ย่อมถือได้ว่าเป็นกิจการส่วนหนึ่งเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ในทางการค้าของจำเลยนั่นเอง การเช่าจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ
ส่วนฎีกาอีกข้อหนึ่งศาลฎีกาเห็นว่าในคดีแพ่งถ้าจำเลยประสงค์จะต่อสู้ในข้อใด จำเลยจะต้องกล่าวในคำให้การโดยชัดแจ้งพร้อมทั้งเหตุผล ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.๑๗๗ วรรค ๒ คดีนี้จำเลยให้การว่าโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อทรัพย์สินรายนี้จริงหรือไม่ จำเลยไม่ทราบดังนี้ถือว่าไม่ใช่คำให้การปฏิเสธ จึงถือว่าไม่มีข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลยอันเป็นประเด็นที่โจทก์จะต้องนำสืบ จึงพิพากษายืน