แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานกรรโชกตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 303 นั้น แสดงอยู่ชัดว่า ใช้วาจาขู่เข็ญก็เป็นความผิดเช่นเดียวกับการใช้กำลังข่มขืน
จำเลยพูดขู่ว่าถ้าไม่ให้เงินก็จะต้องถูกส่งตัวไปขังที่สันติบาล ดังนี้เป็นการพูดขู่เข็ญขืนใจตามมาตรา 303 แล้ว
การนับโทษจำเลยนั้นอยู่ในดุลยพินิจของศาลที่จะสั่งกำหนดตามที่เห็นสมควรตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 32 จึงเป็นปัญหาในข้อเท็จจริง เมื่อศาลล่าง 2 ศาลใช้ดุลยพินิจไม่นับโทษจำเลยต่อจากคดีหนึ่งตามที่โจทก์ขอในคดีที่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงโจทก์ก็จะฎีกาขอ ให้นับโทษต่ออีกไม่ได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๓๖ จำคุก ๔ ปี จำเลยที่ ๒ ผิดตามมาตรา ๓๐๓ – ๒๗๐ รวมกะทงลงโทษจำคุก ๓ ปี ที่ขะให้นับโทษต่อเห็นว่าการกระทำสองรายติดต่อกันควรให้นับโทษพร้อมกันไป
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจะวางโทษตามมาตรา ๒๗๐ แก่จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ เพราะนอกคำบรรยายฟ้องนอกนั้นยืน
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดตามมาตรา ๓๐๓ นั้นเพียงใช้วาจาขู่เข็ญก็เป็นความผิดเช่นเดียวกับการใช้กำลังข่มขึน ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมาว่าจำเลยได้พูดขู่ว่าถ้าไม่ให้เงินก็จะต้องถูกส่งตัวมาขังที่สันติบาล ดังนี้จึงเป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๓ แล้ว
ส่วนฎีกาของโจทก์เรื่องขอให้นับโทษต่อนั้น เห็นว่าอยู่ในดุลยพินิจของศาลที่จะสั่งกำหนดตามที่เห็นสมควรตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๒ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาไม่ได้
จึงพิพากษายืน