แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ภรรยาไปยืนเงินของโจทก์มาวางมัดจำซื้อที่ดินของจำเลย โดยสามีไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วย กับทั้งยังปฏิเสธหรือบอกล้างการยืมนั้นเสียด้วย ดังนี้ สามีจะกลับมาถือว่าเงินที่ภรรยายืมโจทก์มานั้นยังเป็นสินบริคณห์อยู่ เพื่อเรียกคืนจากจำเลยไม่ได้ และเมื่อสามีไม่มีสิทธิเรียกร้องคืนจากจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจากสามี ก็ย่อมไม่มีสิทธิดีไปกว่า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาขายที่ดินให้นางบังอร และได้รับเงินมัดจำไว้ ๒๐,๐๐๐ บาท โดยนายทองอินทร์สามีนางบังอรมิได้รู้เห็นยินยอม นายทองอินทร์ได้บอกล้างนิติกรรมซื้อขายที่ดินรายนี้แล้ว นายทองอินทร์บอกให้จำเลยคืนเงินมัดจำ จำเลยเพิกเฉย นายทองอินทร์ได้โอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ และแจ้งการโอนให้จำเลยทราบจึงขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยให้การต่อสู้หลายประการ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เงิน ๒๐,๐๐๐ บาทนี้ นางบังอรไปยืมเขามานั้น จริงอยู่เงินที่ได้มาย่อมตกเป็นของนางบังอรเป็นเงินที่ได้มาในระหว่างเป็นสามีภรรยากัน ตามธรรมดาย่อมนับว่าเป็นสินสมรสตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๔๖๖ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสินบริคณห์ตามมาตรา ๑๔๖๒ แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฎชัดว่า การที่นางบังอรไปยืมเงินรายนี้มาจากโจทก์ นายทองอินร์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วยกับทั้งยังได้ปฏิเสธบอกล้างการยืมนั้นเสียแล้วด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ นายทองอินทร์จะกลับมาถือว่า เงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ยังเป็นสินบริคณห์อยู่ เพื่อเรียกคืนจากจำเลยได้อย่างไร เมื่อนายทองอินทร์ไม่มีสิทธิจะเรียกคืนจากจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจากนายทองอินทร์ ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่า
พิพากษายืน