คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15529/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของ ก. จะมีลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกันกระทำผิดและเป็นพยานบอกเล่า แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับโดยเด็ดขาดห้ามมิให้รับฟังคำให้การดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็ระบุถึงพฤติการณ์การกระทำที่ร่วมกับจำเลยตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุต่อเนื่องเชื่อมโยงกันไปจนกระทั่งจำเลยยิงผู้ตายแล้วก็หลบหนีไปด้วยกัน อันเป็นข้อเท็จจริงที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์แห่งคดีที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับมูลเหตุแห่งการกระทำผิด มิใช่กระทำไปโดยมุ่งต่อผลเพื่อให้ตนเองพ้นผิดแล้วให้จำเลยรับผิดเพียงลำพัง ประกอบกับจำเลยกับ ก. ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน จึงไม่มีข้อสงสัยว่า ก. จะให้การกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยเพราะไม่มีเหตุผลใดที่ ก. จะกระทำเช่นนั้น เมื่อพิจารณาตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานดังกล่าวนั้นน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ จึงรับฟังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (1)
แม้ว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะจำเลยยิงผู้ตาย แต่โจทก์มีพยานแวดล้อมเห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดก่อนผู้ตายถูกยิงจนถึงแก่ความตายโดยเห็นจำเลยกับพวกมาตามหาผู้ตาย เมื่อรู้ว่าผู้ตายอยู่ที่ห้องน้ำหลังบ้านจำเลยกับพวกก็เดินไปหาผู้ตายทันทีแล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด พวกของจำเลยวิ่งออกไปก่อน แล้วมีเสียงปืนดังขึ้นอีก 3 นัด พอเสียงปืนสงบจำเลยเดินออกมาจากทางหลังบ้านไปหน้าบ้านแล้วถอดเสื้อกันฝนสีแดงทิ้งไว้เยื้องกับบ้านที่เกิดเหตุก่อนที่จะขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป ระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาไม่นานซึ่งไม่พอระแวงสงสัยได้ว่าจะมีผู้อื่นเข้ามาฆ่าผู้ตายในช่วงเวลานั้น จึงเชื่อได้ว่าต้องเป็นจำเลยอย่างแน่แท้ที่ฆ่าผู้ตาย พนักงานสอบสวนนำโลหิตของจำเลยไปตรวจพิสูจน์หาสารพันธุกรรม (DNA) กับเสื้อกันฝนสีแดงที่จำเลยสวมขณะเกิดเหตุที่ยึดไว้เป็นของกลาง ผลการตรวจพิสูจน์พบสารพันธุกรรมของจำเลยที่เสื้อกันฝนสีแดงของกลาง พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยฆ่าผู้ตาย พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นถึงการกระทำที่มีการวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้าอันเป็นการคิดทบทวนตกลงใจก่อนจะกระทำผิดแล้ว จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 288, 289, 371 และริบลูกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต (ที่ถูก ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร) ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ กับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิต เมื่อรวมทุกกระทงแล้วจึงให้ประหารชีวิตสถานเดียว (ที่ถูก เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยแล้ว จึงไม่อาจนำโทษจำคุกมารวมได้อีกคงให้ประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว) ริบลูกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายสวมเสื้อกันฝนสีแดงใช้อาวุธปืนยิงนายณัฐกรณ์ ผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ภายหลังเกิดเหตุร้อยตำรวจโทเอกพล พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสุไหงโก – ลก ได้รับแจ้งเหตุจึงเดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุพบนายรัฐพงศ์ นายชนินทร์ นายยุทธพงษ์ และนายปิยะพงศ์ สอบถามได้ความว่า มีชาย 2 คน มาถามหาผู้ตาย ชายที่สวมเสื้อกันฝนสีแดงเป็นผู้สอบถามแล้วชายคนดังกล่าวเข้าไปยิงผู้ตาย หลังจากนั้นคนร้ายหลบหนีไป ร้อยตำรวจโทเอกพลตรวจสถานที่เกิดเหตุโดยรอบพบเสื้อกันฝนสีแดงถูกทิ้งอยู่เยื้องกับหน้าบ้านเกิดเหตุ ในวันรุ่งขึ้นนายกามารูเด็ง เข้ามอบตัวต่อร้อยตำรวจโทเอกพล โดยให้การว่า ในวันเกิดเหตุได้โทรศัพท์ไปหาจำเลยแจ้งว่าผู้ตายพักอยู่ที่บ้านเลขที่ 84/9 ถนนประชาวิวัฒน์ ซอย 3 ตำบลสุไหงโก – ลก อำเภอสุไหงโก – ลก จังหวัดนราธิวาส จำเลยให้นายกามารูเด็งพาไปหาผู้ตาย และยืมเสื้อกันฝนสีแดงไปด้วย เมื่อไปถึงบ้านผู้ตายได้จอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่ข้างบ้านเกิดเหตุ จำเลยเข้าไปในบ้านพบวัยรุ่นอยู่ในบ้านหลายคน นายกามารูเด็งเดินตามจำเลย จำเลยสอบถามวัยรุ่นว่าผู้ตายอยู่ไหนเมื่อได้ความว่าผู้ตายอยู่หลังบ้าน จำเลยจึงเดินเข้าไปทางหลังบ้าน จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย นายกามารูเด็งวิ่งหนีออกจากบ้านเกิดเหตุไป ร้อยตำรวจโทเอกพลยังสอบคำให้การนายชนินทร์ นายยุทธพงษ์และนายปิยะพงศ์ไว้ โดยต่างให้การยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย และจัดให้มีการชี้ภาพจำเลยไว้ด้วยและเมื่อตรวจจากภาพถ่ายกล้องวงจรปิดก็พบว่าจำเลยสวมเสื้อกันฝนสีแดงของนายกามารูเด็งก่อนขับรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านผู้ตาย ภายหลังจำเลยเข้ามอบตัวแล้ว ร้อยตำรวจโทเอกพลนำโลหิตของจำเลยไปตรวจสอบหาสารพันธุกรรม (DNA) กับเสื้อกันฝนสีแดงที่ยึดไว้เป็นของกลาง ปรากฏว่าพบสารพันธุกรรมของจำเลยที่เสื้อกันฝนสีแดงของกลาง สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานตามทางนำสืบของโจทก์ยังมีข้อสงสัยและแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญอันถือได้ว่าเป็นพิรุธ ไม่อาจยืนยันได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 9 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ เห็นว่า เหตุเกิดในเวลากลางวัน นายรัฐพงศ์พยานโจทก์ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ขณะคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่สวมเสื้อกันฝนสีแดง โดยเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นลำดับ มีรายละเอียดของข้อเท็จจริงแห่งคดีก่อนและขณะผู้ตายถูกยิง บุคคลที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทั้งถ้อยคำที่พูดโต้ตอบระหว่างจำเลยกับพวกของผู้ตาย พฤติการณ์ของจำเลยขณะเกิดเหตุสอดคล้องกับบันทึกคำให้การของพยานที่ได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนภายหลังเกิดเหตุเพียง 5 วัน ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ แม้จะแตกต่างกันบ้างก็เป็นเพียงพลความ ไม่ถึงกับทำให้พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าไม่รู้เห็นเหตุการณ์ตามที่เบิกความ เชื่อว่าเบิกความไปตามความจริงที่ประสบมา ทั้งไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำให้ร้ายจำเลยให้ต้องรับโทษ คำเบิกความจึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง ที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวมีข้อพิรุธน่าสงสัยโดยหยิบยกคัดลอกข้อความมาจากคำอุทธรณ์ทั้งหมดนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างพยานโจทก์ได้โดยมีเหตุผลในการตัดสินทั้งปวงอย่างละเอียดและชอบแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า คำให้การในชั้นสอบสวนของนายกามารูเด็งเป็นพยานบอกเล่าและเป็นคำซัดทอดในฐานะผู้ต้องหาด้วยกัน จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะลงโทษจำเลยได้นั้น เห็นว่า แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของนายกามารูเด็งจะมีลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกันกระทำผิดและเป็นพยานบอกเล่า แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับโดยเด็ดขาดห้ามมิให้รับฟังคำให้การดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็ระบุถึงพฤติการณ์การกระทำที่ร่วมกับจำเลยตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุต่อเนื่องเชื่อมโยงกันไปจนกระทั่งจำเลยยิงผู้ตายแล้วก็หลบหนีไปด้วยกัน อันเป็นข้อเท็จจริงที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์แห่งคดีที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับมูลเหตุแห่งการกระทำผิด มิใช่กระทำไปโดยมุ่งต่อผลเพื่อให้ตนเองพ้นผิดแล้วให้จำเลยรับผิดเพียงลำพัง ประกอบกับจำเลยกับนายกามารูเด็งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน จึงไม่มีข้อสงสัยว่านายกามารูเด็งจะให้การกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยเพราะไม่มีเหตุผลใดที่นายกามารูเด็งจะกระทำเช่นนั้น เมื่อพิจารณาตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานดังกล่าวนั้นน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ จึงรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) แม้ว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะจำเลยยิงผู้ตาย แต่โจทก์มีพยานแวดล้อมเห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดก่อนผู้ตายถูกยิงจนถึงแก่ความตายโดยเห็นจำเลยกับพวกมาตามหาผู้ตาย เมื่อรู้ว่าผู้ตายอยู่ที่ห้องน้ำหลังบ้านจำเลยกับพวกก็เดินไปหาผู้ตายทันทีแล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด พวกของจำเลยวิ่งออกไปก่อน แล้วมีเสียงปืนดังขึ้นอีก 3 นัด พอเสียงปืนสงบจำเลยเดินออกมาจากทางหลังบ้านไปหน้าบ้านแล้วถอดเสื้อกันฝนสีแดงทิ้งไว้เยื้องกับบ้านที่เกิดเหตุก่อนที่จะขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป ระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาไม่นานซึ่งไม่พอระแวงสงสัยได้ว่าจะมีผู้อื่นเข้ามาฆ่าผู้ตายในช่วงเวลานั้น จึงเชื่อได้ว่าต้องเป็นจำเลยอย่างแน่แท้ที่ฆ่าผู้ตาย พนักงานสอบสวนนำโลหิตของจำเลยไปตรวจพิสูจน์หาสารพันธุกรรม (DNA) กับเสื้อกันฝนสีแดงที่จำเลยสวมขณะเกิดเหตุที่ยึดไว้เป็นของกลาง ผลการตรวจพิสูจน์พบสารพันธุกรรมของจำเลยที่เสื้อกันฝนสีแดงของกลาง พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยฆ่าผู้ตาย พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นถึงการกระทำที่มีการวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้าอันเป็นการคิดทบทวนตกลงใจก่อนจะกระทำผิดแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share