คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1479/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเคยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในประเด็นว่า การที่โจทก์ทั้งสองไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสอง และในชั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วให้พิจารณาและพิพากษาคดีใหม่นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยทั้งสองแล้วว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความแต่สืบพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองไปฝ่ายเดียว เป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสม หาขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสอง จึงถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือประเด็นแห่งคดีนี้แล้ว โจทก์ทั้งสองมิได้ฎีกาโต้แย้ง ประเด็นดังกล่าวจึงยุติ การที่จำเลยทั้งสองยกประเด็นนี้ขึ้นอุทธรณ์อีก จึงเป็นการขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 วรรคหนึ่ง
จำเลยทั้งสองฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่ไม่สั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ทั้งสองจากสารบบความ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้าย ป.วิ.พ.

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1266 ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 3 ไร่ 4 ตารางวา
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
วันที่ 7 กรกฎาคม 2557 ซึ่งเป็นนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ทั้งสองไปฝ่ายเดียวแล้วนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองต่อในช่วงบ่าย เวลา 13.30 นาฬิกา ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาคดี ทนายจำเลยทั้งสองมาศาลยื่นคำร้องว่า ทนายจำเลยทั้งสองไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่มาศาลตามกำหนดนัด เนื่องจากระหว่างเดินทางรถยนต์ยางแตก กรณีเป็นเหตุสุดวิสัย ขออนุญาตดำเนินกระบวนพิจารณาในช่วงบ่าย ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่ใช่เหตุสุดวิสัย จึงทำการสืบพยานโจทก์ทั้งสองโดยให้ทนายจำเลยทั้งสองถามค้านพยานโจทก์ทั้งสองที่อยู่ระหว่างการสืบพยาน และเลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองวันที่ 1 กันยายน 2557 เวลา 9.30 นาฬิกา
วันที่ 13 สิงหาคม 2557 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2557 ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเพราะไปประกอบอาชีพที่จังหวัดอื่น ไม่ทราบเงื่อนเวลาตามกฎหมาย มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ขออนุญาตยื่นคำให้การ กับขอให้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ เนื่องจากโจทก์ทั้งสองไม่ได้ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง และขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ทนายจำเลยทั้งสองมาศาลในวันที่ 7 กรกฎาคม 2557 แต่ไม่ได้ยื่นคำร้องในโอกาสแรก ไม่เข้าเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคหนึ่ง ให้ยกคำร้อง และไม่มีเหตุสมควรที่จะสั่งจำหน่ายคดี
วันที่ 1 กันยายน 2557 ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ทั้งสองโดยให้ทนายจำเลยทั้งสองถามค้านพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอนำสืบพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
วันที่ 8 กันยายน 2557 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่สั่งจำหน่ายคดีเป็นการไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1266 เนื้อที่ 8 ไร่ 13 ตารางวา แก่ทายาทของนางนวล คนละส่วนเท่ากัน คือคนละ 2 ไร่ 3 ตารางวา และให้จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทของนางคำแพ้วหรือคำแผ่ว จดทะเบียนแบ่งที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองตามส่วนคนละ 2 ไร่ 3 ตารางวา หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความแต่ได้สืบพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองไปฝ่ายเดียวย่อมเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสม หาขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสองไม่ คดีมีเหตุอันสมควรที่จะต้องไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสอง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสองและมีคำสั่งในเรื่องนี้ใหม่ จากนั้นให้พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสองแล้ว มีคำสั่งว่า การขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสองเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควร ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1266 เนื้อที่ 8 ไร่ 13 ตารางวา แก่ทายาทของนางนวล คนละส่วนเท่ากัน คือคนละ 2 ไร่ 3 ตารางวา และให้จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทของนางคำแพ้วหรือคำแผ่ว จดทะเบียนแบ่งที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองตามส่วนคนละ 2 ไร่ 3 ตารางวา หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 20975 แก่ทายาทของนางนวล คนละส่วนเท่ากัน คือคนละ 2 ไร่ 3 ตารางวา และให้จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทของนางคำแพ้วหรือคำแผ่ว จดทะเบียนแบ่งที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองตามส่วนคนละ 2 ไร่ 3 ตารางวา มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองที่อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ทั้งสองไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง เพราะเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ชอบหรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองเคยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นนี้ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 และในชั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสองและมีคำสั่งใหม่ แล้วให้พิจารณาและพิพากษาคดีนี้ใหม่นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแล้วว่า แม้โจทก์ทั้งสองไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด แต่โจทก์ทั้งสองมาศาลเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาตามนัด แสดงว่าโจทก์ทั้งสองประสงค์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองต่อไป ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีนี้เสียจากสารบบความแต่สืบพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองไปฝ่ายเดียวย่อมเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสม หาขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสองไม่ ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือประเด็นแห่งคดีนี้แล้ว โจทก์ทั้งสองมิได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ประเด็นดังกล่าวจึงยุติ การที่จำเลยทั้งสองยกประเด็นนี้ขึ้นอุทธรณ์อีก จึงเป็นการขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและไม่รับวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง จำเลยทั้งสองฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่ไม่สั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ทั้งสองเสียจากสารบบความ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่จำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์จำนวน 6,447 บาท ต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลยทั้งสอง
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 6,247 บาท แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share