แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4 บัญญัตินิยามคำว่า “ขาย” หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง 5,989 เม็ดซึ่งเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่จำเลยจะมีไว้เสพเอง ทั้งจำเลยนำสืบว่าไปรับยาเม็ดของกลางเพื่อนำไปมอบให้ ต. จึงเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย และเป็นการขายตามคำนิยามดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13, 62, 89, 106, 116และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13วรรคหนึ่ง, 89 จำคุก 15 ปี คำให้การชั้นจับกุมและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 62วรรคหนึ่ง มาตรา 106 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีพันตำรวจตรีวัฒนาศิริสูงเนิน เป็นพยานเบิกความว่า จับจำเลยได้พร้อมยาเม็ดของกลาง6,000 เม็ด ได้มีการตรวจสอบต่อหน้าจำเลยโดยใช้น้ำยามาควิดทำการตรวจสอบ ปรากฏว่าน้ำยาเปลี่ยนจากไม่มีสีเป็นสีส้ม แสดงว่ายาเม็ดของกลางมีส่วนผสมของเมทแอมเฟตามีนผสมอยู่ จึงแจ้งข้อหาว่ามีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายจำเลยให้การรับสารภาพ ปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายพิสุทธิ์ ภู่เงิน จ่าสิบตำรวจบรรลุภูกองไชย และจ่าสิบตำรวจยันยงค์ พีบุ้ง เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันจำเลยนำสืบโดยอ้างตนเองเป็นพยานว่า นางต้อยให้ไปรับของกลางจากจังหวัดนครราชสีมา โดยได้รับค่าจ้าง 500 บาทและไม่ทราบว่า ของกลางเป็นของผิดกฎหมายชั้นจับกุม จำเลยให้การปฏิเสธเห็นว่า พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่โดยไม่มีสาเหตุกับจำเลยมาก่อน คำเบิกความจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อจำเลยมีตัวจำเลยเป็นพยานปากเดียวไม่มีพยานอื่นสนับสนุนจึงไม่มีน้ำหนักพอฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังตามที่โจทก์นำสืบว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยาเม็ดของกลาง จำนวน 6,000 เม็ดซึ่งมีส่วนผสมของเมทแอมเฟตามีนผสมอยู่จำนวน 5,989 เม็ด และจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมนายพิสุทธิ์พยานโจทก์เบิกความด้วยว่า เมื่อพบจำเลยได้ขอทำการตรวจค้น โดยพันตำรวจตรีวัฒนาได้ล้วงเข้าไปภายในถุงกระดาษทราบว่าภายในถุงกระดาษมีถุงพลาสติก3 ถุงใหญ่ ได้เปิดถุงใหญ่ภายในถุงเล็กจำนวน 10 ถุง บรรจุยาเม็ดอยู่ภายในถุง ได้มีการถ่ายภาพไว้ปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.2 และจ.3 เห็นว่า ตามลักษณะของถุงที่ใช้ใส่ยาเม็ดของกลางง่ายต่อการที่จะเปิดตรวจสอบว่าของที่อยู่ภายในนั้นเป็นอะไร การที่จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมก็ดีสภาพของถุงที่ใส่ยาเม็ดของกลางก็ดี และการที่จำเลยครอบครองยาเม็ดของกลางเป็นเวลานานพอที่จะตรวจสอบได้ว่าของกลางที่ตนครอบครองอยู่เป็นอะไรก็ดีข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทราบดีว่ายาเม็ดของกลางที่จำเลยครอบครองอยู่นั้น เป็นของผิดกฎหมาย พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4 บัญญัตินิยามคำว่า “ขาย” หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขาย ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่วินิจฉัยข้างต้นว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง 5,989 เม็ด ซึ่งเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่จำเลยจะมีไว้เพื่อเสพเอง ทั้งจำเลยนำสืบว่าไปรับยาเม็ดของกลางจากจังหวัดนครราชสีมาเพื่อนำไปมอบให้นางต้อยที่จังหวัดขอนแก่นจึงเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย และเป็นการขายตามคำนิยามดังกล่าวการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น