แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขอยืมเงินโจทก์ โจทก์ไม่มี จำเลยจึงขอให้ไปยืมคนอื่นมาให้ ผู้ให้กู้ให้โจทก์รับรองว่าจะคืนภายใน 2 เดือนจึงจะให้ยืม จำเลยจึงเขียนเช็ค 2 ฉบับไม่ได้ลงวันที่ โจทก์สลักหลังเช็คทั้งสองฉบับแล้วมอบให้จำเลยไปขอเงินที่ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ชำระ ผู้ให้กู้ทวงถามโจทก์ โจทก์จึงใช้เงินให้ และยึดเช็ค 2 ฉบับนั้นไว้ แล้วทวงถามจำเลย จำเลยชำระให้ครึ่งหนึ่งโจทก์จึงคืนเช็คให้จำเลย 1 ฉบับ เมื่อทวงถามให้ชำระอีกจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงเขียนวันที่ลงในเช็ค แล้วเอาไปเข้าบัญชี ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นการกู้เงินโดยเอาเช็คเป็นประกันเงินกู้ มิใช่จำเลยออกเช็คเพื่อแลกเงินสดหรือออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ และไม่ใช่เป็นการออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2508 เวลากลางวันจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเลขที่ 124420 ของธนาคารเกษตร จำกัด ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2509 เป็นเงิน 2,500 บาท เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ปรากฏตามสำเนาเช็คท้ายฟ้อง ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2510 โจทก์ได้นำเช็คฉบับดังกล่าวเข้าบัญชีเงินของโจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด สาขาสำเพ็ง เพื่อขอรับเงินตามเช็คของจำเลยจากธนาคารเกษตร จำกัด ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารกรุงไทย จำกัด แต่ธนาคารดังกล่าวได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยแจ้งว่าบัญชีปิดแล้ว ซึ่งจำเลยได้ออกเช็คโดยทราบดีว่าไม่มีเงินอยู่ในบัญชีฝากของตนเจตนาที่จะไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้รายนี้หลายครั้งแล้วก็ไม่ชำระ เหตุเกิดที่ตำบลจักรวรรดิ์ อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ให้จำคุก 2 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การออกเช็คของจำเลยในคดีนี้ โจทก์ทราบดีว่าจำเลยไม่มีเงินในธนาคารในขณะออกเช็ค แต่โจทก์ก็ยังสลักหลังเช็คพิพาทให้แก่จำเลยแล้วให้จำเลยนำเช็คพิพาทไปแลกเงินจากนายฮัดเดรียซิงห์ ต่อมาภายหลังเช็คได้ตกมาอยู่ในมือโจทก์ในฐานะผู้ทรง แม้จะฟังว่าจำเลยได้ออกเช็คโดยมีเจตนาจะไม่ใช้เงินก็ตาม โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(4) (ที่ถูกควรเป็นมาตรา 2(4)) ทั้งนี้เพราะโจทก์มีส่วนรู้เห็นสนับสนุนให้จำเลยออกเช็คโดยไม่มีเงินฝากในธนาคารขึ้นกรณีถือได้ว่าโจทก์มีส่วนในการกระทำผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นร่วมกับจำเลย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง
และฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกู้เงินนายฮัดเดรียซิงห์โดยเอาเช็คเป็นประกันเงินกู้ หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นไม่ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเป็นน้องชายโจทก์ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2508 จำเลยได้มาขอยืมเงินโจทก์ 5,000 บาท แต่โจทก์ไม่มีจำเลยจึงขอให้ไปยืมคนอื่นมาให้ โจทก์ได้โทรศัพท์ไปหานายฮัดเดรียซิงห์ นายฮัดเดรียซิงห์บอกว่าให้โจทก์รับรองว่า จะคืนภายใน 2 เดือนก็จะให้ยืมจำเลยจึงได้เขียนเช็ค 2 ฉบับ ฉบับละ 2,500 บาท โดยไม่ได้ลงวันที่ โจทก์ได้เซ็นสลักหลังเช็คทั้งสองฉบับนั้นแล้ว มอบเช็คให้จำเลยไปขอเงินที่นายฮัดเดรียซิงห์ เมื่อครบกำหนด 2 เดือน จำเลยไม่ชำระนายฮัดเดรียซิงห์ได้ทวงถามโจทก์ โจทก์จึงได้ใช้เงิน 5,000 บาทนั้นและยึดเช็ค 2 ฉบับนั้นไว้ แล้วได้ทวงถามจำเลย จำเลยชำระให้ 2,500 บาท จึงคืนเช็คให้จำเลยหนึ่งฉบับ ยังเหลืออีกหนึ่งฉบับคือฉบับที่พิพาท ได้ทวงถามจำเลยหลายครั้งจำเลยก็ขอผัดเรื่อยมาโจทก์ได้เขียนวันที่ลงในเช็คเป็นวันที่ 21 สิงหาคม 2509 แล้วเอาไปเข้าบัญชีเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2510 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแจ้งว่าปิดบัญชีแล้ว โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง
ข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องกับข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า การที่จำเลยเขียนเช็คมอบให้นายฮัดเดรียซิงห์นั้น ถือได้ว่าเป็นการกู้เงินโดยเอาเช็คเป็นประกันเงินกู้ หาใช่จำเลยออกเช็คเพื่อแลกเงินสดหรือออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้แต่ประการใดไม่ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ได้ความชัดว่าโจทก์เป็นผู้รับรองเงินกู้รายนี้จะชำระภายในกำหนด 2 เดือน เมื่อครบกำหนดโจทก์ก็ชำระแทนตามคำรับรองแล้ว นายฮัดเดรียซิงห์จึงคืนเช็ค 2 ฉบับนั้นให้แก่โจทก์ คดีฟังไม่ได้ว่าการที่จำเลยออกเช็คนั้นเพื่อเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนให้ยกฎีกาโจทก์