คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินที่ธนาคารโจทก์ได้ผ่อนผันจ่ายไปก่อนตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดและคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตที่จำเลยขอสินเชื่อบัตรเครดิตจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการตลอดจนเบิกเงินสดจากเครื่องบริการนั้นไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอนว่าให้จำเลยจะต้องจ่ายคืนให้แก่โจทก์เมื่อใดเป็นแต่เพียงว่าจำเลยยอมผูกพันตนที่จะจ่ายคืนให้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะเศรษฐกิจสังคมและนโยบายการเงินของประเทศเป็นการกำหนดดอกเบี้ยกันไว้ล่วงหน้าถือว่าจำเลยตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้วและไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา654ซึ่งห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปีเพราะมิใช่เป็นเรื่องกู้ยืมและโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงินข้อตกลงดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องเสียดอกเบี้ยไปตามข้อตกลงนั้นจึงไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา379

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขอสินเชื่อบัตรเครดิตโพธิ์เงินจากโจทก์เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการแทนการชำระด้วยเงินสดหรือเบิกเงินสดจากเครื่องบริการเงินด่วน จำเลยได้นำบัตรเครดิตไปใช้หลายครั้งและนำเงินเข้าหักทอนบัญชีเรื่อยมา จำเลยเป็นหนี้โจทก์คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 79,080.02 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 79,081.02 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีของต้นเงิน 65,945.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 65,945.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 มกราคม 2535จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตในกรณีจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง ถือว่าเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 379 หากศาลเห็นว่า สูงเกินส่วนก็มีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ได้หรือไม่ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า จำเลยขอสินเชื่อบัตรเครดิตจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการตลอดจนเบิกเงินสดจากเครื่องบริการเงินด่วนของโจทก์และของธนาคารสมาชิกเมื่อมีการเรียกเก็บเงินจากการใช้บัตรเครดิต โจทก์จะชดใช้เงินไปก่อน จำเลยยินยอมชำระคืนโดยให้โจทก์หักทอนจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลย ถ้ายอดเงินในบัญชีเดินสะพัดปรากฎว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ จำเลยยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บได้ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 8 และคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 2 ได้กำหนดข้อสาระสำคัญไว้ตรงกันว่าในกรณีที่ธนาคารผ่อนผันการจ่ายเงินไปก่อน ด้วยเหตุใดก็ตามทั้งที่เงินฝากคงเหลือในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่าย ซึ่งตามปกติธนาคารจะปฎิเสธการจ่ายเงินเสียก็ได้ ผู้ฝากยอมผูกพันตนที่จะจ่ายเงินส่วนที่ธนาคารผ่อนผันจ่ายไปให้นั้นคืนให้แก่ธนาคาร และยินยอมเสียดอกเบี้ยในเงินจำนวนนั้นให้แก่ธนาคารในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์คิดจากผู้กู้ยืม (ซึ่งในขณะนี้กำหนดไว้ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และต่อไปอาจเปลี่ยนแปลงได้ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดในภายหลัง)นับแต่วันที่เป็นหนี้ธนาคารอยู่ตามบัญชีเดินสะพัดตามวิธีและประเพณีของธนาคาร เห็นได้ว่าเงินที่ธนาคารโจทก์ได้ผ่อนผันจ่ายไปก่อนนั้น ไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอนว่าให้จำเลยจะต้องจ่ายคืนให้แก่โจทก์เมื่อใด เป็นแต่เพียงว่า จำเลยยอมผูกพันตนที่จะจ่ายคืนให้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะเศรษฐกิจ สังคม และนโยบายการเงินของประเทศ เป็นการกำหนดดอกเบี้ยกันไว้ล่วงหน้า ถือว่าจำเลยตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้ว และไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ซึ่งห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี เพราะมิใช่เป็นเรื่องกู้ยืมและโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงิน ข้อตกลงดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยก็ต้องเสียดอกเบี้ยไปตามข้อตกลงนั้น จึงไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ18.5 ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาล

Share