แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องว่าจำเลยมีใช้ในความครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามแปรรูปเป็นเสาถาก 75 ท่อน ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 และพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทลงโทษผู้มีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป และโจทก์นำสืบฟังได้ว่าไม้ของกลางเป็นไม้แปรรูป คือ ถากเป็นเสาแล้ว ดังนี้จะลงโทษจำเลยฐานมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปตามที่โจทก์ขอให้ลงโทษไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันตัดฟันและมีไว้ในความครอบครองซึ่งไม้หวงห้าม เป็นจำนวนไม้แปรรูปเสาถาก ๗๕ ท่อน โดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และไม้นั้นไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงประทับ ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๑๑,๓๙,๖,๖๙,๗๑,๗๓ และพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๑๒,๑๓,๑๗,๑๘ กับขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑,๒ ผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๖๙,๓๙,๗๑ และพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๑๒,๑๓ จำคุกคนละ ๑ ปี ปรับคนละ ๔,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอไว้ภายใน ๓ ปี กับให้ยกฟ้องปล่อยตัวจำเลยที่ ๓,๔ ไป ไม้ของกลางให้ริบ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องปล่อยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ แต่ให้ริบไม้ของกลาง
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๖๙ และพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๑๒ ซึ่งมีใจความว่าผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยไมีมีรอยตราค่าภาคหลวง ต้องระวางโทษ ฯลฯ แต่โจทก์บรรยายฟ้องความว่า จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้าม จำนวนไม้แปรรูปเป็นเสาถาก ๗๕ ท่อน ฯลฯ ทั้งพยานโจทก์ก็ได้ความว่า ไม้ของกลางเป็นไม้แปรรูป คือ เสาถากแล้ว สามารถนำไปปลูกสร้างได้ทันที เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ว่าไม้ของกลางเป็นไม้แปรรูป จะลงโทษจำเลยฐานมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปตามที่โจทก์ขอให้ลงโทษไม่ได้