คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1548/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ซึ่งเคยมีเรื่องทะเลาะกับผู้ตายมาก่อนใช้เหล็กตีที่หน้าผู้ตาย และใช้เหล็กแหลมแทงผู้ตายที่ช่องท้องซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ อาจเล็งเห็นผลได้ว่าทำให้ถึงตายได้ และผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 นั้น ได้ความว่าก่อนเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามวิ่งตามผู้ตาย และยืนล้อมผู้ตายในลักษณะคุมเชิงอยู่มีพยานเห็นมือใครผลักผู้ตายด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ผละออกจากผู้ตายจำเลยทั้งสามก็ตามไป แต่ก็ไม่ได้ความชัดว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายอย่างใดอีก ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามมีอาวุธมาด้วยหรือมีสาเหตุโกรธเคืองร้ายแรงประการใดมาก่อนกับผู้ตายการที่จำเลยที่ 1 ใช้เหล็กแหลมแทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า จึงเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 แต่โดยลำพัง พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงแต่ร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อไปทำร้ายผู้ตายเท่านั้นแต่การร่วมทำร้ายมีผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยทั้งสามจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ซึ่งมีท่อนเหล็กและเหล็กขูดชาฟท์เป็นอาวุธร่วมกันชก ต่อย เตะ ร่างกาย ใช้ท่อนเหล็กตีศีรษะและใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงหน้าท้องโจทก์ที่ 2 โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน แต่โจทก์ที่ 2 ได้รับการรักษาจากแพทย์ทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289, 80, 83
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ให้จำคุก 12 ปี 8 เดือนและยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โจทก์และจำเลยที่ 1อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 83 ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “พฤติการณ์ที่โจทก์ที่ 2 เบิกความว่าเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับจำเลยที่ 1 มาก่อนเกิดเหตุประมาณ1 เดือนสาเหตุที่ทะเลาะวิวาทกันก็ไม่น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงกับต้องฆ่าโจทก์ที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 เห็นโจทก์ที่ 2ขับขี่จักรยานยนต์ผ่านไปคงเกิดความโกรธขึ้นในขณะนั้น แล้วตามไปเพื่อทำร้ายโจทก์ที่ 2 ทันที ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อนแต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้เหล็กตีที่หน้าโจทก์ที่ 2 แล้วยังใช้เหล็กแหลมแทงเข้าช่องท้องซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ อาจเล็งเห็นผลได้ว่าทำให้ถึงตายได้ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าโจทก์ที่ 2โดยเจตนา
ส่วนปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่นั้น โจทก์ที่ 2 เบิกความว่า จำเลยทั้งสามร่วมทำร้ายด้วย นายสวิตชัยเบิกความว่า เห็นจำเลยทั้งสามวิ่งตามโจทก์ที่ 2 และเห็นจำเลยทั้งสามยืนล้อมโจทก์ที่ 1 ในลักษณะคุมเชิงอยู่ เห็นมือใครผลักโจทก์ที่ 2 ด้วย ส่วนนายพยอมว่าเห็นจำเลยทั้งสามยืนอยู่ใกล้ ๆ โจทก์ที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 1 ผละออกจากโจทก์ที่ 2 จำเลยทั้งสามก็ตามไปแต่ก็ไม่ได้ความชัดว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ที่ 2 อย่างใดอีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามมีอาวุธมาด้วย หรือมีสาเหตุโกรธเคืองร้ายแรงประการใดมาก่อนกับโจทก์ที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงโจทก์ที่ 2 โดยเจตนาฆ่า จึงเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1แต่โดยลำพังพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามดังกล่าว น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาเพียงแต่ร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อไปทำร้ายโจทก์ที่ 2 เท่านั้น อย่างไรก็ตามการร่วมกันทำร้ายมีผลทำให้โจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี ลดโทษตามมาตรา78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 15 ปี จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุกคนละ 3 ปี

Share