คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1543/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อ น. เจ้าของบาร์โชว์เปลือยต้องการคิดเงินจากผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 จำนวน 8,600 บาทผู้เสียหายทั้งสองไม่ยอมรับว่าราคาเครื่องดื่มเป็นเงินจำนวนดังกล่าว น. ก็ควรต้องดำเนินการแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจจึงจะชอบการที่พนักงานเก็บเงินกับจำเลยทั้งสองตบหน้าและผลักหน้าท้องผู้เสียหายที่ 2ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน จึงเป็นการใช้แรงกายภาพและกระทำทุกทางเพื่อเอาให้ได้ซึ่งทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 1 โดยทุจริตจนผู้เสียหายที่ 1 ต้องยื่นเงิน 100 ดอลล่าร์สหรัฐ ให้พนักงานเก็บเงินอันเป็นผลมาจากจำเลยทั้งสองใช้กำลังประทุษร้ายการกระทำทั้งหมดของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297, 340
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก จำคุกคนละ 15 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหามีว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้เสียหายที่ 1 ว่า ก่อนที่จะเข้าไปสถานที่เกิดเหตุได้สอบถามว่าจะต้องเสียเงินเท่าใด ชายดังกล่าวไม่บอกราคาแต่พูดว่าไม่มีปัญหาผู้เสียหายที่ 1 เข้าใจว่าน่าจะไม่เกินไปจาก 200 บาทถึง 300 บาท ผู้เสียหายที่ 1 สั่งน้ำส้ม 2 แก้ว ผู้เสียหายที่ 2 ว่า ขณะที่เข้าไปก็เห็นผู้หญิงเปลือยกายอยู่แล้ว ก็จะกลับออกมาแต่พนักงานไม่ให้ออก เมื่อนั่งอยู่ได้ประมาณ 4 ถึง 5 นาที ผู้เสียหายที่ 1 เรียกพนักงานคิดเงินซึ่งเรียกเอาเงิน 8,600 บาท แต่ผู้เสียหายที่ 1 ยังไม่ได้จ่ายเงินให้เพราะมีเงินไม่พอพนักงานชายและพนักงานหญิงได้จับผู้เสียหายที่ 2 เพราะผู้เสียหายที่ 2 จะไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยที่ 2 ได้ใช้มือตบหน้าผู้เสียหายที่ 2 ถึง 2 ครั้ง ส่วนจำเลยที่ 1 ใช้มือผลักหน้าท้องผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน ผู้เสียหายที่ 1 ว่า ผู้เสียหายที่ 2 จะไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ แต่พนักงานไม่ยอมให้ออกไป อีกทั้งช่วยกันดึงตัวผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ไว้ ผู้เสียหายที่ 1 จะชำระเงิน 800 บาท และอีก 100 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ทางพนักงานไม่ยอมรับและพนักงานอีก 2 คน จะล้วงกระเป๋าสตางค์จากด้านหลังกางเกงของผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 1 ขัดขวางต่อสู้ไม่ยอมให้ล้วงซึ่งขณะนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดึงกระชากแขนผู้เสียหายที่ 2 ในลักษณะจะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 จึงดึงกระเป๋าสตางค์ออกมายื่นเงินให้พนักงาน 2 ฉบับ ฉบับละ 50 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่พนักงานเก็บเงินไม่ยอมรับโดยบอกว่า ถ้าเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐต้อง 320 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาพนักงานเก็บเงินได้ยอมรับเงินดอลลาร์สหรัฐไว้เนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 แสดงให้ดูว่าไม่มีเงินอีกแล้ว พนักงานได้รับเงิน 100 ดอลลาร์สหรัฐไว้แล้วเห็นมีรอยฉีกขาดจึงคืนให้ 1 ฉบับ แล้วผลักให้ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ออกไป ผู้เสียหายทั้งสองจึงไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจว่าถูกทำร้ายร่างกาย เจ้าพนักงานตำรวจนำภาพถ่ายมาให้ดู พบว่ามีภาพถ่ายจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นว่า หากผู้เสียหายทั้งสองไม่ถูกทำร้ายร่างกายแล้ว คงไม่แจ้งความดำเนินคดีและผู้เสียหายที่ 2ตั้งครรภ์ 5 เดือน ต้องเข้ารักษาตัวทันทีในโรงพยาบาล การที่ผู้เสียหายที่ 2 ยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ตบหน้า 2 ครั้ง และจำเลยที่ 1 ใช้มือผลักหน้าท้องผู้เสียหายที่ 2 ด้วย ส่วนผู้เสียหายที่ 1 ต้องต่อสู้ขัดขวางไม่ยอมให้ล้วงกระเป๋าสตางค์ จำเลยที่ 1ฎีกาว่า ผู้เสียหายทั้งสองต้องการปรักปรำจำเลยทั้งสองเหตุผลของจำเลยทั้งสอง ตามที่ได้ฎีกาว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองนั้น เมื่อนางนาวิน เจ้าของบาร์โชว์เปลือยต้องการคิดเงินจากผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 จำนวน 8,600 บาท ผู้เสียหายทั้งสองไม่ยอมรับว่าราคาเครื่องดื่มเป็นเงิน 8,600 บาท ซึ่งทางนางนาวินต้องดำเนินการแจ้งต่อพนักงานตำรวจจึงจะชอบ การที่พนักงานเก็บเงินกับจำเลยทั้งสองได้ใช้แรงกายภาพและกระทำทุกทางเพื่อเอาให้ได้ซึ่งทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 1 โดยทุจริตและข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายที่ 1 ต้องยื่นเงิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ ให้พนักงานเก็บเงินโดยจำเลยทั้งสองใช้กำลังประทุษร้าย และที่ผู้เสียหายทั้งสองถูกผลักออกไปจากบาร์สถานที่เกิดเหตุ การกระทำทั้งหมดของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป จำเลยทั้งสองจึงกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น แต่ที่วางโทษจำคุกคนละ 15 ปี หนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรวางโทษให้เหมาะสมแก่รูปคดีเสียใหม่”
พิพากษาแก้เป็นว่า วางโทษจำคุกคนละ 10 ปี

Share