คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1543/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนศาลพิพากษาให้จำเลยในฐานะทายาทผู้รับมรดกของ พ. ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์จำเลยและผู้ร้องขัดทรัพย์ได้จดทะเบียนลงชื่อเป็นผู้รับมรดกที่ดินของ พ. เช่นนี้แม้จำเลยและผู้ร้องจะมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแทน พ. เจ้ามรดกแล้วก็ตามแต่ที่พิพาทก็ยังเป็นทรัพย์ในกองมรดกของ พ. อยู่นั่นเอง โจทก์ชอบที่จะยึดมาชำระหนี้ได้
แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 และผู้ร้องมีชื่อเป็นเจ้าของร่วมในโฉนดที่ดินแปลงที่โจทก์ยึดก็ตาม แต่เมื่อยังไม่มีการแบ่งแยกโฉนดเป็นสัดส่วน จำเลยจึงยังมีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้ด้วย โจทก์มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับยึดที่ดินแปลงนั้นได้

ย่อยาว

คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะเป็นทายาทผู้รับมรดกของนางพร้อม ขันธมิตร ให้ชำระเงินตามหนังสือสัญญากู้ ซึ่งก่อนตายนางพร้อมได้กู้เงินไปจากโจทก์รวมทั้งดอกเบี้ย ๘,๔๐๐ บาท ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ คงดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ ต่อไปศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินกู้ตามฟ้อง เมื่อครบกำหนดเวลาตามคำบังคับ จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์จึงนำยึดที่ดินโฉนดที่ ๔๕๘๐ กับที่ ๔๕๖๘ ตำบลขยาย อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ในกองมรดกของนางพร้อม
ผู้ร้องทั้งสามคือจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กับจ่าสิบเอกนคร ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าผู้ร้องและจำเลยที่ ๑ เป็นทายาทของนางพร้อมเจ้ามรดกได้จดทะเบียนลงชื่อผู้ร้องและจำเลยที่ ๑ รับมรดกที่ดินที่โจทก์นำยึดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ขอให้ปล่อยการยึดเฉพาะส่วนของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นสั่งว่าผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดทั้งสองโฉนดเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับ จำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษา ฉะนั้น ผู้ร้องขัดทรัพย์จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดหาได้ไม่ จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์เสีย แต่ไม่ตัดสิทธิที่ผู้ร้องขัดทรัพย์จะเรียกให้จัดการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาว่าผู้ร้องขัดทรัพย์จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์เฉพาะส่วนของผู้ร้องได้หรือไม่ เห็นว่าการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘ บัญญัติว่าภายในบังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา ๕๕ ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ ก่อนที่ได้เอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาด หรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นบุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้นได้ แต่คดีนี้ปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องว่า จำเลยที่ ๑ คือลูกหนี้ตามคำพิพากษามีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้ร้องทั้งสามในที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๕๘๖ และ ๔๕๖๘ ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้นั้นเดิมเป็นที่ดินของนางพร้อมเจ้ามรดก ผู้ร้องและจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนลงชื่อเป็นผู้รับมรดกขณะที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ ในฐานทายาทผู้รับมรดกของนางพร้อมชำระหนี้แก่โจทก์ แม้ผู้ร้องจะมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแทนนางพร้อมเจ้ามรดกแล้วก็ตาม แต่ที่พิพาทยังเป็นทรัพย์ในกองมรดกของนางพร้อมอยู่นั่นเอง โจทก์ชอบที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ตามนัยฎีกาที่ ๑๙๓/๒๕๑๐ ระหว่าง นายคำ เทียนอำไพ โจทก์ นางใจ รักษาพล จำเลย นางชลอ ลัพบุตร กับพวก ผู้ร้องกรณีจึงไม่ต้องตามบทบัญญัติแห่งมาตรา ๒๘๘ แม้จำเลยที่ ๑ จะมีชื่อเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินโฉนดดังกล่าวกับผู้ร้อง ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิที่จะขอให้ปล่อยทรัพย์นั้นได้ เพราะยังไม่ปรากฏว่าได้มีการแบ่งแยกโฉนดกันออกเป็นส่วนสัดอย่างไร จำเลยจึงยังมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วยในที่ดินทั้งสองแปลงนั้น และโจทก์มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียืดทรัพย์นั้นได้ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๕๐/๒๕๐๐ ระหว่างนางเย้น แป้นประเสริฐ โจทก์ นางเหนียง เจือเพชร จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องเสียนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ผู้ร้องเสียค่าทนายชั้นฎีกา ๑๐๐ บาทแทนโจทก์ด้วย

Share