แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องขอให้โอนที่ดินให้ตามสัญญาจะซื้อขายนั้น เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ( อ้างคำสั่งคำร้องที่ 12/2493 และ ฎีกาที่ 1065/2493 )
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงจำเลยต่อสู้ว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกินอำนาจศาลแขวง แต่เมื่อศาลแขวงสั่งว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลแขวง แล้วพิจารณาคดีต่อไปนั้น แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ในทันที และมิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จนศาลพิพากษาแล้ว จึงมาอุทธรณ์เรื่องอำนาจศาลอีก ดังนี้ก็ตาม ก็เป็นเรื่องอำนาจศาลเป็นข้อ ก.ม.อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 142 (5) และเมื่อเห็นว่าคดีเกินอำนาจศาลแขวง ศาลสูงก็ย่อมมีอำนาจให้ยกคำพิพากษาแขวงแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยผู้เป็นทายาทของนายชินฟังนายฮั่ว โอนที่ดินโฉนดที่ ๘๑๒ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ ตามสัญญาจะซื้อขาย โดยอ้างว่าโจทก์ได้ตกลงซื้อจากนายชินฟังนางฮั้วเป็นเงิน ๖๐๐๐๐ บาท และได้ชำระราคาเสร็จแล้ว ยัดนี้นายชินฟังนางฮั้วได้ถึงแก่กรรม จำเลยผู้เป็นทายาทไม่ยอมโอนให้
ฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่า นายชินฟังนางฮั้วไม่เคยทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้แก่ใครและว่าเกินอำนาจศาลแขวง
ศาลแขวงสั่งว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์อยู่ในอำนาจศาลแขวง สืบพยานแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงและอำนาจศาล
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ยกฟ้องโจทก์ที่ฟ้องไม่ถูกศาล
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีเช่นนี้โดยที่ประชุมใหญ่ในการสั่งคำสั่งคำร้องที่ ๑๒/๒๔๙๓ และคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๖๕/๒๔๙๓ ได้ชี้ขาดไว้เป็นแบบอย่างว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์
ส่วนข้อที่อ้างว่า จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อชี้ขาดไว้ในตอนแรกนั้น ก็เห็นว่า เรื่องอำนาจศาลเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้คัดค้านหรืออุทธรณ์ ศษลก็ย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๔๒ (๕) ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดมาชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน