คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1540/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด อ้างว่าราคาต่ำเกินสมควรตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 ทวิ วรรคสอง (เดิม) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยวางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ซื้อทรัพย์ และจำเลยนำเงินมาวางแล้วบางส่วน ส่วนที่เหลือจำเลยขอขยายระยะเวลาวางเงินต่อไปอีก แต่เมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินอีก จำเลยก็ต้องนำเงินส่วนที่เหลือมาวางภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามและศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเพิกถอนการขายทอดตลาด คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคห้า ที่มาตรา 309 ทวิ วรรคสาม ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนอง พร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระจนกว่าจะครบ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวทำการขายทอดตลาดได้เงินจำนวน 4,000,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุมัติให้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปในราคาต่ำกว่าราคาประเมินมากทั้งที่โจทก์และจำเลยคัดค้านว่าไม่ควรขายทำให้จำเลยเสียเปรียบเป็นการขายโดยไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้าน และผู้ซื้อทรัพย์ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยวางเงินหรือหาประกันต่อศาลเพื่อเป็นหลักประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ซื้อทรัพย์ที่อาจจะได้รับความเสียหายเนื่องจากการยื่นคำร้องดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินจำนวน 200,000 บาท มาวางเป็นประกันต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2545 ต่อมาจำเลยขอขยายระยะเวลาวางเงินดังกล่าวต่อไปอีก 2 ครั้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้ขยายระยะเวลาวางเงินภายในวันที่ 3 มีนาคม 2546 เมื่อถึงวันครบกำหนดตามที่ศาลชั้นต้นขยายระยะเวลาวางเงินให้ จำเลยแถลงขอนำเงินมาวางเป็นประกันต่อศาลจำนวน 100,000 บาท และขอขยายระยะเวลาวางเงินที่เหลือต่อไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะขอขยายระยะเวลาวางเงินให้จำเลยอีก จึงมีคำสั่งไม่อนุญาต และมีคำสั่งว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า ให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด และให้คืนเงินจำนวน 100,000 บาท แก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินประกันส่วนที่เหลือ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า กำหนดให้คำสั่งศาลเป็นที่สุดในกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโดยจงใจหรือเจตนาประวิงคดี แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ จำเลยมีเจตนาที่จะนำเงินมาวาง เมื่อศาลได้มีคำสั่งให้วางเงินประกัน 200,000 บาท จำเลยสามารถหาเงินประกันมาวางต่อศาล 100,000 บาท และขอขยายระยะเวลาหาเงินมาวางประกันอีก 100,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต จำเลยมิได้มีความประสงค์ที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลแต่ประการใด จึงมีเหตุสมควรที่จะขยายระยะเวลาวางเงินประกันที่เหลือให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า การที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างว่าราคาที่ได้มีจำนวนต่ำเกินสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ทวิ วรรคสอง (เดิม) นั้น ในวรรคสามของมาตราดังกล่าวให้นำวรรคห้าของมาตรา 296 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยวางเงินจำนวน 200,000 บาท ภายในวันที่ 3 มีนาคม 2546 เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ซื้อทรัพย์ แม้จำเลยจะนำเงินมาวางแล้วบางส่วนจำนวน 100,000 บาท และส่วนที่เหลือขอขยายระยะเวลาวางเงินต่อไปอีกก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินอีก จำเลยก็ต้องนำเงินส่วนที่เหลือมาวางภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามและศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดนั้นแล้ว คำสั่งยกคำร้องดังกล่าวของศาลชั้นต้นจึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาต่อไปอีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share