แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดยวิธีปิดคำคู่ความหรือเอกสารตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 79 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏว่าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นไม่สามารถจะกระทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 74 ถึง 78 และศาลจะต้องมีคำสั่งอย่างเป็นกิจจะลักษณะว่าให้ส่งโดยวิธีปิดคำคู่ความหรือเอกสารได้ แต่คดีนี้ไม่ปรากฏชัดว่าการส่งหมายนัดโดยวิธีธรรมดาดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 74 ถึง 78 ไม่สามารถจะกระทำได้และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปิดหมายนัดเป็นกิจจะลักษณะแต่ประการใด การที่ในหมายนัดมีข้อความเป็นตรายางประทับว่าไม่มีผู้รับให้ปิดหมายนั้น ข้อความดังกล่าวอาจประทับในภายหลังจากที่ผู้พิพากษาได้ลงลายมือชื่อในหมายแล้วก็เป็นได้เมื่อเจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นนำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปส่งให้จำเลยและทนายจำเลยโดยวิธีปิดหมายดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าจำเลยและทนายจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้ว และถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยฟังโดยชอบ ศาลฎีกาชอบที่จะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เฉพาะในส่วนที่อ่านให้จำเลยฟัง และให้ศาลชั้นต้นนัดจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใหม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 337,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทำคำพิพากษาเสร็จได้ส่งคำพิพากษาและสำนวนกลับไปยังศาลชั้นต้นเพื่ออ่านให้คู่ความฟัง เจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้ศาลชั้นต้นทราบและขออนุญาตส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้โจทก์ทั้งสอง จำเลยและทนายจำเลยทราบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จัดการตามเสนอ ต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม 2545 ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โจทก์ทั้งสองมาศาล ส่วนจำเลยและทนายจำเลยไม่มา ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้โจทก์ทั้งสองฟังโดยถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษาโดยชอบแล้ว
วันที่ 5 มีนาคม 2546 จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ได้รับหมายนัดจึงไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยมิได้จงใจที่จะไม่มาฟังคำพิพากษา ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งว่าจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทำคำพิพากษาเสร็จได้ส่งคำพิพากษาและสำนวนกลับไปยังศาลชั้นต้น เพื่ออ่านให้คู่ความฟัง เจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้ศาลชั้นต้นทราบและขออนุญาตส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้โจทก์ทั้งสอง จำเลยและทนายจำเลยทราบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จัดการตามเสนอ วันที่ 29 มิถุนายน 2545 เจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นนำหมายนัดไปส่งให้แก่จำเลยและทนายจำเลยโดยวิธีปิดหมายวันที่ 23 กรกฎาคม 2545 ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โจทก์ทั้งสองมาศาล ส่วนจำเลยและทนายจำเลยไม่มา ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้โจทก์ทั้งสองฟังโดยถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษาโดยชอบแล้ววันที่ 5 มีนาคม 2546 จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งว่าจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ก่อนจะวินิจฉัยในเนื้อหาของฎีกาของจำเลยสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยชอบหรือไม่ ซึ่งการส่งหมายนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า “ถ้าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นไม่สามารถจะทำได้ดั่งที่บัญญัติไว้ในมาตราก่อน ศาลอาจสั่งให้ส่งโดยวิธีอื่นแทนได้ กล่าวคือปิดคำคู่ความหรือเอกสารไว้ในที่แลเห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของคู่ความหรือบุคคลผู้มีชื่อระบุไว้ในคำคู่ความหรือเอกสาร…” การส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดยวิธีปิดคำคู่ความหรือเอกสารตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 79 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวนี้จะต้องปรากฏว่าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นไม่สามารถจะกระทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 74 ถึง 78 และศาลจะต้องมีคำสั่งอย่างเป็นกิจจะลักษณะว่าให้ส่งโดยวิธีปิดคำคู่ความหรือเอกสารได้ แต่คดีนี้ไม่ปรากฏชัดว่าการส่งหมายนัดโดยวิธีธรรมดาดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 74 ถึง 78 ไม่สามารถจะกระทำได้และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปิดหมายนัดเป็นกิจจะลักษณะแต่ประการใด การที่ในหมายนัดมีข้อความเป็นตรายางประทับว่าไม่มีผู้รับให้ปิดหมายนั้น ข้อความดังกล่าวอาจประทับในภายหลังจากที่ผู้พิพากษาได้ลงลายมือชื่อในหมายแล้วก็เป็นได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นนำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปส่งให้จำเลยและทนายจำเลยโดยวิธีปิดหมายดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าจำเลยและทนายจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้ว และถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยฟังโดยชอบศาลฎีกาชอบที่จะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เฉพาะในส่วนที่อ่านให้จำเลยฟัง และให้ศาลชั้นต้นนัดจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247 และเมื่อได้วินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอีกต่อไป”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เฉพาะในส่วนที่อ่านให้จำเลยฟัง ให้ศาลชั้นต้นนัดจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใหม่