คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 154/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บ้านพิพาทผู้ร้องเอาเงินที่ได้จากการขายบ้านและที่ดินซึ่งเป็นสินเดิมของผู้ร้องซื้อมา บ้านพิพาทจึงเป็นสินเดิมของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465(เดิม)ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ซึ่งตามพระราชบัญญัติให้ใช้บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2519 มาตรา 7 ได้บัญญัติให้สินเดิมดังกล่าวเป็นสินส่วนตัว บ้านพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง
ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ได้หย่าและตกลงกันเรื่องทรัพย์สินตามเอกสารหมาย ร.2ว่า ทรัพย์สินทั้งหมดซึ่งเป็นสินเดิมของผู้ร้องมาก่อนหรือเป็นสินสมรสระหว่างเป็นสามีภรรยายกให้บุตรทั้งสี่คนก็ตาม แต่การยกให้มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะบ้านพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์และเป็นสินเดิมของผู้ร้อง แต่การยกให้มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การยกให้ไม่มีผลสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525บ้านพิพาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาจึงไม่มีสิทธินำยึด
ประเด็นมีว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องหรือไม่ปัญหาหรือข้อเท็จจริงที่ว่า การที่ผู้ร้องยกบ้านพิพาทให้บุตรเป็นการสมบูรณ์หรือไม่จึงเป็นปัญหาหรือข้อเท็จจริงที่รวมอยู่ในประเด็นดังกล่าว เพราะหากฟังว่าการยกให้มีผลสมบูรณ์บ้านพิพาทก็ไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้ร้อง แต่ถ้าการยกให้ไม่สมบูรณ์ บ้านพิพาทก็ยังคงเป็นของผู้ร้อง

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 รวม 7 รายการ

ผู้ร้องร้องว่าทรัพย์ทั้ง 7 รายการ มิใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ทรัพย์ตามรายการที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ยกให้กับบุตรในวันที่ผู้ร้องและจำเลยที่ 2จดทะเบียนหย่ากัน ตามสำเนาเอกสารท้ายคำร้อง ส่วนบ้านตามรายการที่ 7 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพราะเป็นสินเดิม ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

โจทก์ให้การว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยที่ 2 ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ได้หย่าและทำบันทึกการหย่าหลังเกิดหนี้รายนี้แล้วเป็นการสมคบกันฉ้อฉลเพื่อยักย้ายถ่ายเททรัพย์ให้พ้นจากการบังคับคดี ผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ยังอยู่กินฉันสามีภรรยากันตามปกติขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ยกทรัพย์สินทั้ง 7 รายการให้บุตรแล้ว ผู้ร้องมิได้กระทำการแทนบุตรไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพากษายกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า บ้านทรัพย์รายการที่ 7 เป็นสินเดิมของผู้ร้อง ยังมิได้ทำนิติกรรมและจดทะเบียนการยกให้ต่อเจ้าหนี้ การยกให้ไม่สมบูรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า บ้านเลขที่ 16 ทรัพย์รายการที่ 7 เดิมเป็นสินเดิมของผู้ร้องและเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่การยกให้ไม่สมบูรณ์บ้านยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง พิพากษาแก้เป็นให้เป็นปล่อยบ้านเลขที่ 16 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดที่ 14803 แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร จากการยึดนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมผู้ร้องมีที่ดินและบ้านอยู่ในซอยเกษมสันต์ 3 ถนนพระราม 1 ปทุมวัน บ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นสินเดิมซึ่งผู้ร้องมีมาก่อนได้จำเลยที่ 2เป็นภรรยา ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินอะไร ผู้ร้องขายบ้านและที่ดินสินเดิมดังกล่าวแล้วไปซื้อบ้านเลขที่ 16 ที่พิพาทพร้อมที่ดิน บ้านพิพาทจึงเป็นสินเดิมของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465 เดิมซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นซึ่งตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 7 ได้บัญญัติให้สินเดิมดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวแม้จะได้ความว่าเมื่อผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ได้หย่าและได้ตกลงกันในเรื่องทรัพย์สินตามเอกสารหมาย ร.2 ว่า ทรัพย์สินใด ๆ ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นสินเดิมของผู้ร้องมาก่อน หรือเป็นสินสมรสระหว่างเป็นสามีภรรยา ยกให้บุตรทั้งสี่คนก็ตาม แต่การยกให้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะบ้านเป็นอสังหาริมทรัพย์ และเป็นสินเดิมของผู้ร้องซึ่งรวมอยู่ในทรัพย์ที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย ร.2 ด้วย เมื่อการยกให้มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การยกให้ก็ไม่มีผลสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 บ้านพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดบ้านพิพาท

ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการให้ไม่สมบูรณ์เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่าปัญหาดังกล่าวเกี่ยวกับประเด็นหรือข้อเท็จจริงที่ว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องหรือไม่ เพราะหากฟังว่าการยกให้ตามเอกสารหมาย ร.2มีผลสมบูรณ์บ้านพิพาทก็มิใช่ทรัพย์สินของผู้ร้อง แต่การยกให้ไม่สมบูรณ์ บ้านพิพาทยังคงเป็นของผู้ร้อง ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นซึ่งได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นนั่นเอง

ฎีกาของโจทก์ที่ว่าการยกให้ไม่สุจริตนั้นไม่จำต้องวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share