คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1538/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 วรรคท้ายนั้น นายจ้างต้องระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างหรือแจ้งเหตุที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้างเมื่อวันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 และตามหนังสือของจำเลยฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ซึ่งในวันดังกล่าวจำเลยมิได้แจ้งเหตุและระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ที่จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเนื่องจากโจทก์ไปทำงานให้บริษัทอื่นที่เป็นคู่แข่งขันทางการค้าของจำเลยให้โจทก์ทราบแต่อย่างใด จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา 119 วรรคหนึ่ง (4)
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 67 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยมิใช่กรณีตามมาตรา 119 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่เลิกจ้างตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ลูกจ้างพึงมีสิทธิได้รับตามมาตรา 30” และมาตรา 119 วรรคท้าย บัญญัติว่า “การเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามวรรคหนึ่ง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างหรือไม่ได้แจ้งเหตุที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้าง นายจ้างจะยกเหตุนั้นขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้” แม้ศาลแรงงานกลางจะฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 วรรคหนึ่ง (2) แต่เมื่อจำเลยมิได้ระบุข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ในหนังสือที่แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2551 และไม่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวให้โจทก์ทราบในขณะที่เลิกจ้าง จำเลยจึงยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามมาตรา 67 ไม่ได้และยังต้องถือว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิใช่กรณีตามมาตรา 119 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามมาตรา 67 ให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้าง 578,138 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 31,760.34 บาท ค่าชดเชย 1,588,018.30 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 158,801.83 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 9,528,109.80 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 814,625 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2536 ครั้งสุดท้ายดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายต่างจังหวัด ซึ่งเป็นผู้บริหารคนหนึ่งของจำเลย เงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 73,500 บาท กำหนดจ่ายทุกวันที่ 30 ของเดือน จำเลยให้สิทธิโจทก์ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 2 หมายเลข และใช้รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 1 คัน ไว้สำหรับใช้ในการทำงาน โดยจำเลยเป็นผู้จ่ายค่าใช้โทรศัพท์ให้ตามที่ใช้จริงแต่ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท และค่าน้ำมันรถให้ตามที่ใช้จริงแต่ไม่เกินเดือนละ 12,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2551 จำเลยนัดประชุมลูกจ้างระดับหัวหน้างาน ในการประชุมมีการสอบถามเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์และแจ้งให้โจทก์ทำบันทึกรายงานการทำงานย้อนหลังเป็นเวลา 3 เดือน จัดส่งให้จำเลยภายใน 7 วัน ซึ่งโจทก์มิได้ส่งบันทึกรายงานให้ เมื่อครบกำหนดวันจ่ายค่าจ้างของเดือนพฤษภาคม 2551 จำเลยจึงไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 จำเลยทำหนังสือถึงโจทก์แจ้งให้ทราบว่าโจทก์ไม่ได้ส่งบันทึกรายงานภายในกำหนดไม่ได้เข้ามาชี้แจงและเข้ามาทำงานถือว่าโจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของจำเลย ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2551 โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2551 และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 73,500 บาท ส่วนที่จำเลยให้โจทก์ใช้โทรศัพท์และรถยนต์ก็เพื่อประโยชน์ในการทำงาน การจ่ายเงินค่าโทรศัพท์และค่าน้ำมันรถก็เป็นไปตามความเป็นจริงที่โจทก์ใช้ มิใช่เป็นการจ่ายเงินให้โจทก์อันเป็นการเหมาจ่ายเป็นรายเดือน จึงเป็นการให้สวัสดิการแก่โจทก์ มิใช่จ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามปกติอันเป็นค่าจ้าง สำหรับเงินค่าส่วนแบ่งหรือเงินค่าตอบแทนจากยอดการขายสินค้า มีลักษณะเป็นเงินจูงใจเพื่อให้โจทก์ควบคุมดูแลการทำงานของพนักงานขายซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมิใช่ส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ส่วนการเลิกจ้างนั้นพยานหลักฐานตามที่จำเลยนำสืบมายังไม่แน่ชัดว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นวันใดแน่ แต่โจทก์ยืนยันว่าโจทก์ทราบจากเลขานุการฝ่ายขายในวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ว่ากรรมการผู้จัดการจำเลยสั่งไม่ให้โจทก์เข้าไปในที่ทำงานกับสั่งยกเลิกการประชุมพนักงานขายตามที่โจทก์นัดประชุมไว้และให้โจทก์นำรถยนต์ประจำตำแหน่งไปคืนจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2551 สำหรับเหตุแห่งการเลิกจ้างนั้นข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะที่โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย โจทก์ไปทำงานให้นายวีระ กรรมการผู้จัดการบริษัทโอลิเวอร์เมดิคัลซิสเต็ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งขันทางการค้าของจำเลย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวการกระทำของโจทก์จึงเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย แต่เมื่อจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์แล้วทำหนังสือฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2551 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน โดยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้ส่งรายงานการปฏิบัติงานย้อนหลัง ไม่ได้เข้ามาชี้แจงและไม่ได้เข้ามาทำงาน ซึ่งจำเลยมิได้ระบุข้อเท็จจริงว่าขณะโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยนั้น โจทก์ไปทำงานให้บริษัทอื่นที่เป็นคู่แข่งขันทางการค้าของจำเลยจึงเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจะยกเอาเหตุการกระทำดังกล่าวของโจทก์มาอ้างในภายหลังเพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ย่อมไม่ได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 วรรคท้าย จำเลยต้องรับผิดชำระค่าชดเชยให้โจทก์ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน ตามมาตรา 118 (5) ส่วนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2551 ซึ่งเป็นปีที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ได้ความตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่กำหนดให้พนักงานหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีละ 6 วันทำงาน เมื่อโจทก์ทำงานนับถึงวันเลิกจ้างมีระยะเวลาเพียง 5 เดือน จำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2551 ให้โจทก์ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 2.5 วัน ตามมาตรา 67 วรรคหนึ่ง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าจำเลยจะต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 735,000 บาท กับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2551 เป็นเงิน 6,125 บาท แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า การเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา 119 วรรคท้ายนั้น นายจ้างต้องระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างหรือแจ้งเหตุที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้าง เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ซึ่งในวันดังกล่าวและตามหนังสือของจำเลยฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2551 จำเลยก็มิได้แจ้งเหตุและระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ที่จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเนื่องจากโจทก์ไปทำงานให้บริษัทอื่นที่เป็นคู่แข่งขันทางการค้าของจำเลยให้โจทก์ทราบแต่อย่างใดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 วรรคท้าย กรณีดังกล่าวจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา 119 วรรคหนึ่ง ส่วนปัญหาค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2551 ที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์มีความผิดกระทำการจงใจให้จำเลยได้รับความเสียหายตามมาตรา 119 วรรคหนึ่ง (2) จำเลยจึงไม่จำต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่เลิกจ้างตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ตามมาตรา 67 วรรคหนึ่ง เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 67 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยมิใช่กรณีตามมาตรา 119 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่เลิกจ้างตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ลูกจ้างพึงมีสิทธิได้รับตามมาตรา 30” และมาตรา 119 วรรคท้าย บัญญัติว่า “การเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามวรรคหนึ่ง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างหรือไม่ได้แจ้งเหตุที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้าง นายจ้างจะยกเหตุนั้นขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้” คดีนี้แม้ศาลแรงงานกลางจะฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 วรรคหนึ่ง (2) แต่เมื่อจำเลยมิได้ระบุข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ในหนังสือที่แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2551 และไม่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวให้โจทก์ทราบในขณะที่เลิกจ้าง จำเลยจึงยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามมาตรา 67 ไม่ได้และยังต้องถือว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิใช่กรณีตามมาตรา 119 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามมาตรา 67 ให้แก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share