คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1537/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 นั้น อาจทำเป็นคำร้องขออย่างคดีไม่มีข้อพิพาทก็ได้ ไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องเป็นคดีมีข้อพิพาท
หากมีการดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อพิพาท กรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดหรือทั้งหมด ซึ่งมีส่วนได้เสียในผลของการประชุมใหญ่นั้นย่อมมีสิทธิร้องคัดค้านเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีได้ หาใช่มีสิทธิเฉพาะบริษัทซึ่งมีการประชุมใหญ่เท่านั้นไม่
เมื่อโจทก์มิได้เริ่มต้นคดีด้วยการร้องขออย่างคดีไม่มีข้อพิพาทแต่กลับฟ้องบริษัทเป็นจำเลย ทางที่ผู้มีส่วนได้เสียจะเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีได้จึงจำเป็นที่จะต้องเข้ามาด้วยการร้องสอด
ผู้ร้องสอดเป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นกรรมการบริษัทจำเลยตามมติของที่ประชุมใหญ่ซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะเข้ามาในคดีเพื่อขอความรับรองคุ้มครองบังคับตามสิทธิของตนได้โดยการร้องสอดเข้ามาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) บริษัทจำเลยจะต่อสู้คดีหรือยอมรับตามคำฟ้องหรือขาดนัดไม่ต่อสู้คดีประการใด ก็หาเป็นการตัดสิทธิผู้ร้องสอดไม่
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 58 ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(2) ไม่อาจใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่จำเลยมีอยู่ในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การผู้ร้องสอดจะร้องสอดเข้ามาเพื่อเป็นจำเลยร่วมหรือแทนที่จำเลยตามมาตรา 57(2) ย่อมหาประโยชน์มิได้เพราะไม่มีสิทธิในการต่อสู้คดีเช่นเดียวกับจำเลยซึ่งขาดนัด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยบริษัทจำเลยได้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 1/2513 และลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องเลือกตั้งกรรมการบริษัทและย้ายสำนักงานใหญ่ ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนมติของที่ประชุมดังกล่าว

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

ผู้ร้องสอดทั้งสองยื่นคำร้องสอดเข้ามาว่า ผู้ร้องสอดทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยและได้รับเลือกเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยตั้งแต่ปี 2511 ตลอดมาจนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งต่อไปอีก 1 ปี ตามมติของที่ประชุมใหญ่สามัญครั้งที่ 1/2513 ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีส่วนได้เสีย มีความจำเป็นเพื่อยังให้ได้การรับรองหรือแสดงว่าการประชุมดังกล่าวได้ดำเนินไปโดยถูกต้อง เพื่อคุ้มครองและบังคับตามสิทธิในฐานะที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการ จึงขอร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ว่าการลงมติตั้งกรรมการใหม่เป็นไปโดยถูกต้องแล้ว ส่วนที่เกี่ยวกับการย้ายสำนักงานใหญ่ โจทก์ไม่ติดตามรายงานการประชุมจึงไม่ทราบมติว่าฝ่ายโจทก์ที่ค้านไม่ให้ย้ายชนะคะแนนเสียง ฟ้องโจทก์ข้อนี้ไม่เป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณา

ศาลชั้นต้นสั่งว่า ผู้ร้องสอดร้องเข้ามากรณีไม่เข้าบทบัญญัติมาตรา 57(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องสอดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องสอดฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นกรณีฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 ซึ่งอาจทำเป็นคำร้องขออย่างคดีไม่มีข้อพิพาทก็ได้ ไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีมีข้อพิพาทเมื่อมีการดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดหรือทั้งหมด ซึ่งมีส่วนได้เสียในผลของการประชุมใหญ่นั้นย่อมมีสิทธิร้องคัดค้านเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188 สิทธิที่จะร้องคัดค้านใช่จะมีอยู่แต่เฉพาะบริษัทซึ่งมีการประชุมใหญ่เท่านั้นก็หาไม่

ตามคำร้องของผู้ร้องสอด ปรากฏว่าผู้ร้องสอดทั้งสองเป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการตามมติของที่ประชุมใหญ่ ซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนดังนั้นผู้ร้องสอดทั้งสองย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียซึ่งมีสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีได้เพราะถ้าหากศาลสั่งเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ สิทธิในการเป็นกรรมการของผู้ร้องสอดทั้งสองตามมติที่ประชุมใหญ่ย่อมจะพลอยเสียผลไปด้วย

คดีนี้ โจทก์มิได้เริ่มต้นคดีด้วยการร้องขออย่างคดีไม่มีข้อพิพาทแต่กลับฟ้องบริษัทเป็นจำเลย ทางที่ผู้ร้องสอดจะเข้าเกี่ยวข้องในคดีได้จึงจำเป็นที่จะต้องเข้ามาด้วยการร้องสอด ซึ่งผู้ร้องสอดก็ได้ร้องสอดเข้ามาในคดีแล้ว โดยอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) แต่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่า ตามประเด็นข้อต่อสู้ในคำร้องสอดเป็นการใช้สิทธิไปในทางต่อสู้คดีกับฝ่ายโจทก์ฝ่ายเดียวและในประเด็นเดียวกับที่บริษัทจำเลยจะต้องต่อสู้หรือยอมรับกับฝ่ายโจทก์ ซึ่งเท่ากับขอเข้ามาใช้สิทธิต่อสู้คดีในฐานะเป็นจำเลยร่วมกับบริษัทจำเลย หรือแทนบริษัทจำเลยนั่นเอง มิใช่ตั้งสิทธิของตนขึ้นมาโดยลำพัง โดยขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา 57(1) จึงให้ยกคำร้อง ปัญหาจึงมีว่าผู้ร้องสอดจะร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) เพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ได้หรือไม่

ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องสอดทั้งสองเป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นกรรมการบริษัทจำเลยตามมติของที่ประชุมใหญ่ ย่อมมีส่วนได้เสียที่จะเข้ามาในคดีเพื่อขอความรับรองคุ้มครองบังคับตามสิทธิของตนได้บริษัทจำเลยจะต่อสู้คดีหรือยอมรับตามคำฟ้องหรือขาดนัดไม่ต่อสู้คดีประการใด ก็หาเป็นการตัดสิทธิผู้ร้องสอดแต่อย่างใดไม่ โดยเฉพาะคดีนี้บริษัทจำเลยเองก็ขาดนัดยื่นคำให้การ จะให้ผู้ร้องสอดร้องสอดเข้ามาในคดีตามมาตรา 57(2) เพื่อเป็นจำเลยร่วมหรือแทนที่จำเลยย่อมหาประโยชน์อันใดมิได้ เพราะตามบทบัญญัติมาตรา 58 ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(2) ไม่อาจใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่จำเลยมีอยู่ผลก็คือ ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิให้การต่อสู้คดีเช่นเดียวกับจำเลยซึ่งขาดนัด ผู้ร้องสอดจึงชอบที่จะขอเข้ามาในคดีได้ตามมาตรา 57(1) ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับคำร้องสอดของผู้ร้องสอดไว้พิจารณา ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องสอดฟังขึ้น

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องสอดของผู้ร้องสอดไว้พิจารณาต่อไป

Share