แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายได้โต้เถียงและทำร้ายบิดาจำเลย บิดาจำเลยได้วิ่งเข้ามา ผู้ตายได้ใช้ไม้ตีจำเลย จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายไป 1 ที และผู้ตายได้ตีจำเลยอีก 1 ที แล้วเอี้ยวตัวจะผละหนี จำเลยก็แทงผู้ตายที่หลังอีก 1 ทีดังนี้ การที่จำเลยแทงครั้งหลังนั้น ไม่เป็นการป้องกันตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 50 เพราะจำเลยแทงข้างหลัง ไม่มีความจำเป็นที่จำเลยจะต้องแทงผู้ตายเพื่อให้บิดาหรือตัวจำเลยพ้นภยันตรายจากการกระทำของผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงมีผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่กระทำลงโดยบันดาลโทสะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 55 จำเลยต่อสู้ว่าทำโดยป้องกันตัวบิดาและตัวจำเลยเอง ทางพิจารณาได้ความว่านายลบผู้ตายและนายจันทร์บิดาจำเลย ได้เกิดโต้เถียงกับนายลบได้ถีบนายจันทร์ล้มลง พอนายจันทร์โงศีรษะลุกขึ้นนายลบก็ตีเอา 1 ที ตบ 1 ที ทันใดนั้นจำเลยก็วิ่งเข้ามา นายลบคว้าไม้ไผ่โตขนาดข้อมือยาวแค่ศอกตีจำเลยถูกแขนซ้าย จำเลยจึงชักมีดออกจากกระเป๋ากางเกงแทงนายลบถูกที่หน้าอกนายลบตีจำเลยอีก 1 ที แล้วเอี้ยวตัวจะผละหนี จำเลยก็แทงนายลบถูกที่หลังอีก 1 ที นายลบกระโดดเรือนหนีไป แล้วต่อมาได้ถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 4 ปีตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 55, 59ศาลอุทธรณ์แก้ว่าจำเลยมีผิดตามมาตรา 249, 50, 53 จำคุก 1 ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้แทงนายลบจริงตามคำพยานโจทก์และเห็นว่าที่จำเลยแทงครั้งหลังนั้น ไม่เป็นการป้องกันตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 50 เพราะจำเลยแทงข้างหลัง ในขณะที่นายลบเอี้ยวตัวจะผละหนี ไม่มีความจำเป็นที่จำเลยจะต้องแทงนายลบเพื่อให้บิดาหรือตัวจำเลยพ้นภยันตรายจากการกระทำของนายลบอีก และเมื่อแผลที่จำเลยแทงครั้งหลังทำให้นายลบตายด้วย การกระทำของจำเลย จึงเป็นการฆ่าคนโดยเจตนาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น