แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หน้าที่ของบิดามารดาที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรนั้นให้กระทำขณะเป็นผู้เยาว์ หรือหากต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่บรรลุนิติภาวะก็เฉพาะที่ทุพพลภาพหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1564 แสดงว่าการอุปการะเลี้ยงดูบุตรต้องกระทำจนถึงบุตรบรรลุนิติภาวะ ซึ่งอาจบรรลุนิติภาวะได้ทั้งการสมรสเมื่ออายุ 17 ปีบริบูรณ์ หรือมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ การที่ศาลล่างกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ให้จำเลยซึ่งเป็นบิดาชำระเป็นช่วงระยะเวลาจนถึงบุตรผู้เยาว์อายุ 20 ปี นั้น จึงไม่ถูกต้อง เห็นควรแก้ไขให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าบุตรผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะ ส่วนการที่จำเลยฎีกาอ้างว่า มีภาระค่าใช้จ่ายมาก มีหนี้สิน และต้องเลี้ยงดูบุตรที่เกิดกับภริยาที่จดทะเบียนสมรสอีก 3 คน เพื่อขอลดค่าอุปการะเลี้ยงดูนั้น ล้วนเป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยไม่เป็นเหตุให้ยกอ้าง และถ้าหากเป็นเช่นนั้นจำเลยสามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1598/39
พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 155 บัญญัติว่า ในการยื่นคำฟ้องหรือคำร้องตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดีครอบครัวเพื่อเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือค่าเลี้ยงชีพ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียม คดีนี้มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์เพียงเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับจึงไม่ชอบ เห็นควรให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่สั่งดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า เด็กชาย น. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดู 160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 20,000 บาท นับแต่เดือนสิงหาคม 2554 เป็นต้นไปจนถึงอายุ 5 ปี ค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 25,000 บาท นับตั้งแต่อายุ 6 ปี จนถึงอายุ 10 ปี ค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 30,000 บาท นับตั้งแต่อายุ 11 ปี จนถึงอายุ 15 ปี และค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 40,000 บาท นับตั้งแต่อายุ 16 ปี จนถึงอายุ 20 ปี
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เด็กชาย น. ผู้เยาว์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียงฝ่ายเดียว ให้จำเลยชดใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่โจทก์ได้จ่ายไปแล้วเป็นเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นรายเดือน เดือนละ 15,000 บาท นับแต่เดือนกันยายน 2554 เป็นต้นไปจนถึงอายุครบ 7 ปี แล้วเพิ่มเป็นเดือนละ 25,000 บาท จนถึงอายุครบ 14 ปี แล้วเพิ่มเป็นเดือนละ 30,000 บาท จนถึงจะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์หรือจบการศึกษาชั้นอุดมศึกษา ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยยื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความตกลงท้ากันว่า คู่ความจะไปตรวจลายพิมพ์ดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ในการเป็นบิดาและบุตรระหว่างจำเลยกับผู้เยาว์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี หากผลการตรวจรายงานว่าผู้เยาว์เป็นบุตรของจำเลย หรือไม่พบข้อขัดแย้งในการเป็นบุตรของจำเลยตามหลักการถ่ายทอดทางพันธุกรรม จำเลยยอมรับผู้เยาว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย แต่หากผลการตรวจรายงานว่าผู้เยาว์ไม่ใช่บุตรของจำเลยหรือพบข้อขัดแย้งในการเป็นบุตรของจำเลยตามหลักการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โจทก์ยอมถอนฟ้องหรือยอมแพ้คดี ปรากฏผลการตรวจลายพิมพ์ดีเอ็นเอว่าผู้เยาว์เป็นบุตรของโจทก์และจำเลยจริงตามคำท้าตามรายงานผลการตรวจลายพิมพ์ ดีเอ็นเอ จำเลยจึงยอมรับว่า ผู้เยาว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เด็กชาย น. ผู้เยาว์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรในอัตราเดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันที่ 1 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไปจนถึงอายุครบ 7 ปี เมื่ออายุกว่า 7 ปี จนถึงอายุ 14 ปี ในอัตราเดือนละ 7,500 บาท เมื่ออายุกว่า 14 ปี จนถึงอายุ 20 ปี ในอัตราเดือนละ 12,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 6,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรในอัตราเดือนละ 6,000 บาท นับถัดจากวันที่ 1 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไปจนถึงอายุครบ 3 ปี เมื่ออายุกว่า 3 ปี จนถึงอายุครบ 6 ปี ในอัตราเดือนละ 7,000 บาท เมื่ออายุกว่า 6 ปี จนถึงอายุครบ 14 ปี ในอัตราเดือนละ 8,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อปี 2553 โจทก์และจำเลยมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาว มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กชาย น. ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2554 ทั้งสองฝ่ายท้ากันให้มีการตรวจลายพิมพ์ดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ในการเป็นบิดาและบุตรที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ผลการตรวจปรากฏว่าเด็กชาย น. เป็นบุตรของจำเลยตามรายงานผลการตรวจลายพิมพ์ดีเอ็นเอ
อนึ่ง ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 155 บัญญัติว่า ในการยื่นคำฟ้องหรือคำร้องตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดีครอบครัวเพื่อเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือค่าเลี้ยงชีพให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียม กรณีนี้คดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์เฉพาะประเด็นค่าอุปการะเลี้ยงดู จำเลยจึงได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับจึงไม่ชอบ อีกทั้งการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรในช่วงอายุกว่า 14 ปี จนถึงอายุ 20 ปี ในอัตราเดือนละ 12,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในส่วนนี้นั้น เห็นว่า หน้าที่ของบิดามารดาที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรนั้นให้กระทำในขณะบุตรผู้เยาว์ หรือจะต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่บรรลุนิติภาวะก็เฉพาะ ที่ทุพพลภาพหาเลี้ยงตัวเองมิได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 แสดงว่า การอุปการะเลี้ยงดูบุตรต้องกระทำจนถึงบุตรบรรลุนิติภาวะ ซึ่งอาจมีการบรรลุนิติภาวะได้ทั้งการสมรสเมื่ออายุ 17 ปีบริบูรณ์หรือมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ที่ศาลล่างกำหนดอายุที่จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจนถึงอายุ 20 ปี จึงไม่ถูกต้องเห็นสมควรแก้ไขทั้งสองประเด็นดังกล่าวให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเมื่ออายุกว่า 14 ปี จนถึงบรรลุนิติภาวะในอัตราเดือนละ 12,000 บาท ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์