คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 152/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสัญญาเช่าที่จำเลยมีต่อโจทก์ซึ่งเป็นการครอบครองแทนโจทก์เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไปแม้จำเลยจะครอบครองที่พิพาทเกิน10ปีก็หาทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ไม่ แม้โจทก์จะปิดอากรแสตมป์ในสัญญาเช่าที่ดินไม่ครบถ้วนก็ตามแต่โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโจทก์จึงยังคงมีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่จำเลยในฐานะที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้โดยไม่จำต้องใช้หนังสือสัญญาเช่าที่ดินเป็นพยานหลักฐานในคดีการเช่าจะปิดอากรแสตมป์โดยไม่ชอบทำให้รับฟังไม่ได้หรือไม่จึงไม่ใช่สาระสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงผลคดีแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตราจองเลขที่ 3768 และโฉนดเลขที่ 47746 ซึ่งโจทก์ได้ให้จำเลยเช่าเพื่อทำการค้า ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าที่ดินอีกต่อไปโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้วแต่จำเลยก็เพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยพร้อมด้วยบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินตราจองเลขที่3768 และโฉนดเลขที่ 47746 กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 27,800 บาท พร้อมค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาทนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยพร้อมด้วยบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินตามฟ้องโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยเช่าที่ดินตามฟ้องจากโจทก์ลายมือชื่อผู้เช่าในหนังสือสัญญาเช่าที่ดินท้ายฟ้องไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลา 10 ปีเศษแล้วจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องและมีคำสั่งว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตราจองเลขที่3768 และโฉนดเลขที่ 47746 โดยการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าแม้จำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ก็หาทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ เนื่องจากจำเลยเข้าอาศัยอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยสัญญาเช่า และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินตราจองเลขที่ 3768 และโฉนดเลขที่ 47746ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 27,800 บาท แก่โจทก์ และชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ6,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 28 มิถุนายน 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาในประเด็นแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โดยจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2525 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยนั้น ได้ความจากทางนำสืบของจำเลยแต่เพียงว่าจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อเดือนพฤษภาคม 2525 ในขณะที่ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่รกร้างว่างเปล่าโดยจำเลยเข้าทำประโยชน์ด้วยการถมดินและสร้างโรงเรียนไว้ตามภาพถ่ายหมาย ล.1 แล้วสร้างแผงลอยขายเนื้อสุกรชำแหละและผักกับให้นายเตื้อน ฆังคะสะเร เช่าแผงลอยที่เหลือขายเนื้อสุกรชำแหละอีกส่วนหนึ่งด้วย แต่ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวโจทก์นำสืบหักล้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและโจทก์ได้ให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทสร้างร้านขายเนื้อสุกรชำแหละเมื่อวันที่ 15ธันวาคม 2528 มีกำหนด 1 ปี ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาทโดยโจทก์มีตราจองโฉนดที่ดินและหนังสือสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมายจ.1 จ.2 และ จ.3 เป็นพยานเอกสารสนับสนุนจากข้อนำสืบของทั้งสองฝ่ายจะเห็นได้ว่าจำเลยมีเพียงตัวจำเลยเท่านั้นที่เบิกความอ้างว่าจำเลยเข้าครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทของโจทก์โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน แม้นายเตื้อนจะเบิกความเป็นพยานจำเลยว่านายเตื้อนได้เช่าแผงลอยของจำเลยซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทขายเนื้อสุกรชำแหละด้วยก็ตาม แต่นายเตื้อนก็ไม่ได้เบิกความยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ข้อนำสืบของจำเลยจึงเป็นที่เลื่อนลอย มีน้ำหนักน้อยกว่าข้อนำสืบของโจทก์ เพราะข้อนำสืบของโจทก์นอกจากจะมีพยานบุคคลอันได้แก่คำเบิกความของโจทก์และของนางสุวิมล อิ้วเส้ง ผู้เก็บค่าเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยแทนโจทก์เบิกความยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้วโจทก์ยังมีตราจองกับโฉนดที่ดินและหนังสือสัญญาเช่าที่ดินซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้เช่าเป็นพยานเอกสารสนับสนุนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ด้วย ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 จ.2 และ จ.3 แม้จำเลยจะต่อสู้และฎีกาว่าจำเลยไม่เคยเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ และลายมือชื่อผู้เช่าในหนังสือสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.3 ไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยก็ตาม แต่ข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อต่อสู้ที่เลื่อนลอย จำเลยไม่ได้ส่งลายมือชื่อดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อทำการพิสูจน์ว่าลายมือชื่อนั้นมิใช่ลายมือชื่อของจำเลยดังที่จำเลยกล่าวอ้าง และหากจำเลยคิดว่าจำเลยได้ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจริงแล้วจำเลยก็น่าจะปลูกบ้านลงในที่ดินพิพาทแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงแผงลอยเพื่อจำหน่ายเนื้อสุกรเท่านั้น ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักแห่งการรับฟัง ศาลฎีกาเชื่อว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับโจทก์จริง จำเลยจึงครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสัญญาเช่าที่จำเลยมีต่อโจทก์ซึ่งเป็นการครอบครองแทนโจทก์เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไป แม้จำเลยจะได้ครอบครองที่ดินพิพาทเกิน 10 ปีก็หาทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ไม่ ที่ดินพิพาทจึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงและโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าไปยังจำเลยโดยชอบแล้ว โจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมายจ.3 ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ไม่ได้นั้น เห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนก็ตาม แต่โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโจทก์จึงยังคงมีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่จำเลยในฐานะที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้โดยไม่จำต้องใช้หนังสือสัญญาเช่าที่ดิน เป็นพยานหลักฐานในคดีการที่สัญญาเช่าจะปิดอากรแสตมป์โดยไม่ชอบทำให้รับฟังได้หรือไม่จึงไม่ใช่สาระสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงผลคดีแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่เกี่ยวกับความรับผิดในเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อจำเลยครอบครองปรปักษ์จนที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้วจำเลยก็ไม่ได้ละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ดังได้วินิจฉัยแล้วและได้ความว่าสัญญาเช่าที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลงโดยการที่โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาต่อจำเลยโดยชอบแล้วแต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท การอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปของจำเลยเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิหรือเป็นการอยู่โดยละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์ ชอบที่โจทก์จะฟ้อง บังคับเรียกร้องเอาค่าเสียหายแก่จำเลยได้ และเห็นว่าค่าเสียหายที่ศาลล่างศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์นั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share