คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้ไม้ตีพริกของกลางยาวประมาณ 1 ศอก ตีศีรษะผู้เสียหายที่ 1 หลายครั้ง และใช้มีดปลายแหลมแทงบริเวณหน้าอกของผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 2 แผล ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย จนผู้เสียหายที่ 1 สลบไปและกะโหลกศีรษะข้างขวาส่วนหน้าแตกเป็นทางยาว และรอยประสานของกะโหลกศีรษะข้างขวาส่วนหน้าแตกแยก กับบาดแผลที่ถูกมีดแทง 2 แผล ยาว 1.5 เซนติเมตร กว้าง 0.2 เซนติเมตร ลึกเข้าช่องอก มีลมออกที่ช่องอกทั้งสองข้าง แสดงว่าจำเลยใช้ไม้ตีพริกที่ศีรษะของผู้เสียหายที่ 1 อย่างแรงหลายที และใช้มีดปลายแหลมแทงอย่างแรงเข้าบริเวณหน้าอกของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย จนผู้เสียหายที่ 1 สลบไป หากไม่สามารถนำผู้เสียหายที่ 1 ให้แพทย์รักษา ทันท่วงทีผู้เสียหายที่ 1 ย่อมถึงแก่ความตายได้ การที่จำเลยใช้อาวุธของกลางดังกล่าวทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 จำเลยย่อมเล็งผลว่าผู้เสียหายที่ 1 อาจถึงแก่ความตายได้ แต่ผู้เสียหายที่ 1 ไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
สาเหตุที่ผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยพูดจาโต้เถียงกันเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายที่ 1 คิดจะเลิกอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยและไปแต่งงานใหม่ ผู้เสียหายที่ 1 จึงบอกแก่จำเลยว่าจะพาบุตรชายที่เกิดกับจำเลยไปให้มารดาผู้เสียหายที่ 1 เลี้ยงดู แต่จำเลยไม่ยินยอมและตกลงกันไม่ได้ ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยก็มีปากเสียงกันมาก่อนแล้ว เมื่อจำเลยกลับมาที่ห้องเกิดเหตุก่อนและผู้เสียหายที่ 1 กลับมาทีหลัง โดยดื่มสุรามึนเมา ก็ยังมามีปากเสียงกันอีก จำเลยโมโหและได้ใช้ไม้ตีพริกและมีดปลายแหลมเข้าทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ตามพฤติการณ์ที่จำเลยเป็นสามีของผู้เสียหายที่ 1 มา 4 ปีเศษ มีบุตรด้วยกัน 1 คน เป็นชาย ก่อนเกิดเหตุมีชายอื่นมาติดพันผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 1 จะเลิกร้างกับจำเลยและไปอยู่กินกับชายคนใหม่และจะพาบุตรไปจากจำเลย จำเลยพูดขอร้องไม่ให้พาบุตรไป แต่ผู้เสียหายที่ 1 ก็ไม่ยินยอมและพูดยืนยันทำนองว่าจะพาบุตรไปจากจำเลยให้ได้ในขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 มึนเมาสุรา ทำให้จำเลยเกิดความโมโห การกระทำของผู้เสียหายที่ 1 ดังกล่าว เป็นการข่มเหงน้ำใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยได้ใช้ไม้ตีพริกตีและมีดแทงผู้เสียหายที่ 1 ในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
แม้ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสจะยุติไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์เพราะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีมีเหตุสมควรก็มีอำนาจรอการ ลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๙๑, ๓๓ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗, ๒๘๘ ประกอบ ๘๐, ๗๒ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามมาตรา ๙๑ ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ ๑ โดยบันดาลโทสะ จำคุก ๒ ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๒ ได้รับอันตรายสาหัส จำคุก ๒ ปี โทษจำคุกแต่ละกรรมให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามมาตรา ๕๖ ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ จำคุก ๑๐ ปี และฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๒ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ (๘) จำคุก ๑ ปี รวมเป็นจำคุก ๑๑ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า คืนเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายที่ ๑ ทะเลาะกัน จำเลยใช้ ไม้ตีพริกและใช้มีดของกลางแทงทำร้ายผู้เสียหายที่ ๑ และใช้ไม้ตีพริกตีทำร้ายผู้เสียหายที่ ๒ หลายครั้งจนผู้เสียหาย ทั้งสองสลบไป ปรากฏบาดแผลของผู้เสียหายทั้งสองตามรายงานผลชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องเอกสารหมาย จ.๑ และ จ.๒ ตามลำดับ
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ ๑ ตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยใช้ไม้ตีพริกของกลางยาวประมาณ ๑ ศอก ตีศีรษะผู้เสียหายที่ ๑ หลายครั้ง และใช้มีดปลายแหลมแทงบริเวณหน้าอกของผู้เสียหายที่ ๑ จำนวน ๒ แผล ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายจนผู้เสียหายที่ ๑ สลบไปและกะโหลกศีรษะข้างขวาส่วนหน้าแตกเป็นทางยาว และรอยประสานของกะโหลกศีรษะข้างขวาส่วนหน้าแตกแยก กับบาดแผลที่ถูกมีดแทง ๒ แผล ยาว ๑.๕ เซนติเมตร กว้าง ๐.๒ เซนติเมตร ลึกเข้าช่องอก มีลมออกที่ช่องอก ทั้งสองข้าง แสดงว่าผู้เสียหายใช้ไม้ตีพริกตีที่ศีรษะของผู้เสียหายที่ ๑ อย่างแรงหลายทีและใช้มีดปลายแหลมแทง อย่างแรงเข้าบริเวณหน้าอกของผู้เสียหายที่ ๑ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย จนผู้เสียหายที่ ๑ สลบไป หากไม่สามารถนำผู้เสียหายที่ ๑ ให้แพทย์รักษาทันท่วงทีผู้เสียหายที่ ๑ ย่อมถึงแก่ความตายได้ แสดงให้เห็นว่าการที่จำเลยใช้อาวุธ ของกลางดังกล่าวทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๑ นั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้เสียหายที่ ๑ อาจถึงแก่ความตายได้ แต่ผู้เสียหายที่ ๑ ไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ ๑ โดยบันดาลโทสะหรือไม่ ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า สาเหตุที่ผู้เสียหายที่ ๑ กับจำเลยพูดจาโต้เถียงกันน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายที่ ๑ คิดจะเลิกอยู่กิน ฉันสามีภริยากับจำเลยและไปแต่งงานใหม่ ผู้เสียหายที่ ๑ จึงบอกแก่จำเลยว่าจะพาบุตรชายที่เกิดกับจำเลยไปให้มารดาผู้เสียหายที่ ๑ เลี้ยงดูที่จังหวัดเพชรบูรณ์ แต่จำเลยไม่ยินยอม และตกลงกันไม่ได้ ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ ๑ กับจำเลยก็มีปากเสียงกันมาก่อนแล้ว เมื่อจำเลยกลับมาที่ห้องเกิดเหตุก่อนและผู้เสียหายที่ ๑ กลับมาทีหลัง โดยดื่มสุรามึนเมา ก็ยังมามีปากเสียงกันอีก ก่อนเกิดเหตุข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่าผู้เสียหายที่ ๑ พูดว่าจะทิ้ง และเลิกจากการเป็นภริยาของจำเลยและจะนำบุตรชายของจำเลยไปให้มารดาภริยาของจำเลยเลี้ยงดูที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จำเลยจึงโมโหและได้ใช้ไม้ตีพริกและมีดปลายแหลมเข้าทำร้ายผู้เสียหายจริง เห็นได้ว่าตามพฤติการณ์ที่จำเลยเป็นสามีของผู้เสียหายที่ ๑ มา ๔ ปีเศษ มีบุตรด้วยกัน ๑ คน เป็นชาย ก่อนเกิดเหตุมีชายอื่นมาติดพันผู้เสียหายที่ ๑ และผู้เสียหายที่ ๑ จะเลิกร้างกับจำเลยและไปอยู่กินกับชายคนใหม่และจะพาบุตรไปจากจำเลย จำเลยพูดขอร้องไม่ให้พาบุตรไป แต่ผู้เสียหายที่ ๑ ก็ไม่ยินยอม และพูดยืนยันทำนองว่าจะพาบุตรไปจากจำเลยให้ได้ในขณะที่ผู้เสียหายที่ ๑ มึนเมาสุรา ทำให้จำเลยเกิดความโมโห การกระทำของผู้เสียหายที่ ๑ ดังกล่าว เป็นการข่มเหงน้ำใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยได้ใช้ไม้ตีพริกตีและมีดแทงผู้เสียหายที่ ๑ ในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นแพทย์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนประกอบกับผู้เสียหายที่ ๑ ซึ่งเป็นภริยาจำเลยเบิกความว่าให้อภัยและไม่ติดใจเอาความกับจำเลยต่อไป กรณีมีเหตุที่จะลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยได้
อนึ่งแม้ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๒ จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสจะยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพราะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีมีเหตุสมควรก็มีอำนาจรอการ ลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ ๑ โดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๐, ๗๒ ให้จำคุกจำเลย ๒ ปี เมื่อรวมกับโทษที่จำเลยได้รับในความผิดฐานทำร้าย ร่างกายผู้เสียหายที่ ๒ ให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ (๘) อีกกระทงหนึ่งจำนวน ๑ ปี เป็นจำคุก ๓ ปี โทษจำคุกแต่ละกระทงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์

Share