แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์รถยนต์บรรทุก 10 ล้อ ที่บรรทุกสินค้า โดยพวกจำเลยขับรถยนต์กระบะตามหลังรถบรรทุกที่จะปล้นไปในระยะกระชั้นชิด แล้วจำเลยได้ปีนจากรถกระบะขณะที่แล่นตามหลังรถบรรทุกขึ้นไปบนรถบรรทุก เห็นได้ว่าจำเลยได้ใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์รายนี้แล้ว และถือได้ว่ารถยนต์กระบะนั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำผิด ศาลจึงมีอำนาจสั่งริบเสียได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องใจความว่า จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก ๗ คน ได้บังอาจร่วมกันมีปืนและมีดเป็นอาวุธติดตัว และใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะกระทำการปล้นทรัพย์รถยนต์บรรทุกพร้อมสินค้า ๑ คัน ราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาท ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ขนส่งภาคเหนือ ซึ่งนายสุรศักดิ์หรือสรศักดิ์ แสงทับทิม เป็นผู้จัดการ ขณะที่รถนั้นอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของนายมนูญ เซ่งซือ นายวิจัก สั้นเต็ง และนายเท้งไม่ทราบนามสกุล จำเลยกับพวกได้ลงมือกระทำการปล้นทรัพย์แล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะนายมนูญ เซ่งซือ ขับรถยนต์พลัดตะแคงอยู่ข้างถนน เป็นเหตุให้จำเลยกับพวกไม่สามารถนำรถยนต์และสินค้าดังกล่าวไปได้ ในการปล้นทรัพย์จำเลยกับพวกยิงปืน มีและใช้อาวุธปืนกับใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะในการกระทำความผิด ตามวันเวลาดังกล่าว เจ้าพนักงานจับพวกของจำเลยได้ ๑ คน และยึดได้ทรัพย์สินตามบัญชีของกลางท้ายฟ้อง รวม ๑๘ รายการ ซึ่งจำเลยกับพวกได้ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี, ๘๐, ๘๓, ๓๒, ๓๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ , ๓๔๐ ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ ให้ลงโทษจำคุก ๕๐ ปี ริบของกลาง เว้นแต่รองเท้า
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๘ เวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา นายมนูญ เซ่งซือ ขับรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อ ของห้างหุ้นส่วนจำกัดขนส่งภาคเหนือ บรรทุกสินค้าจากกรุงเทพมหานครไปตามถนนสายเอเซีย เพื่อจะไปจังหวัดเชียงราย เวลาประมาณ ๒ นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น รถแล่นไปถึงสะพานเชียงราก ตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีรถยนต์กระบะยี่ห้อดัทสันดับไฟหน้าแล่นตามหลังรถนายมนูญไปกระชั้นชิด แล้วคนที่นั่งในรถกระบะประมาณ ๗ – ๘ คนได้ปีนขึ้นไปบนรถของนายมนูญทางด้านหลัง ๓ คน จ่าสิบตำรวจปทุม อุณหนันท์ สายตรวจตำรวจทางหลวง กับ นายสุรศักดิ์ หรือสรศักดิ์หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดขนส่งภาคเหนือ ซึ่งออกตรวจท้องที่แถวนั้นเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงขับรถตามไปจนใกล้แล้วเปิดไปหน้ารถ รถยนต์กระบะดัทสันรู้ตัว จึงเลี้ยวรถกลับแล่นไปทางสะพานเชียงราก และศาลฎีกาวินิจฉัยเชื่อว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง
วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนข้อหาพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยอยู่บนรถกระบะที่ใช้เป็นยานพาหนะในการปล้น และได้ปีจากรถกระบะขณะที่แล่นตามหลังรถบรรทุกที่ถูกปล้นขึ้นมาบนรถบรรทุกนั้น เห็นได้ว่าจำเลยได้ใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์รายนี้แล้ว รถยนต์กระบะของกลางถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้ริบเสียได้ ส่วนของกลางอื่นเว้นแต่รองเท้าเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด จึงให้ริบ
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ และ ๓๔๐ ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ ให้จำคุก ๕๐ ปี ลดโทษให้จำเลย ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๓๓ ปี ๔ เดือน ริบของกลาง เว้นแต่รองเท้า