คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยสัญญากู้เป็นพยานหลักฐาน แต่สัญญากู้ปิดอากรแสตมป์เพียง 5 บาท ขาดไป 15 บาท นับว่าตราสารสัญญากู้นี้ปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ โจทก์จะใช้ตราสารสัญญากู้นั้นเป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีแพ่งไม่ได้ จึงเท่ากับว่าโจทก์ขาดหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
เรื่องตราสารที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ เป็นเรื่องที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้โดยเฉพาะ แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันไว้ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๔๐,๐๐๐ บาท ตกลงดอกเบี้ยร้อยละ๑ ต่อเดือน ขอให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำหนังสือกู้ยืมและรับเงินกู้ไปจากโจทก์
ศาลชั้นต้นฟังว่า ลายเซ็นชื่อในเอกสารสัญญากู้ที่โจทก์อ้างเป็นหลักฐานฟ้องเรียกเงินกู้ ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้อง ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบตามประมวลรัษฎากรบัญญัติ ใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ต้องถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้พิพากษายืนในผลแห่งคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยเอกสารสัญญากู้ แต่สัญญากู้เงินนี้ปิดอากรแสตมป์เพียง ๕ บาท ตามประมวลรัษฎากรต้องปิดอากรแสตมป์๒๐ บาท ขาดไป ๑๕ บาท นับว่าตราสารสัญญากู้นี้ปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ บัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ฯลฯ” เมื่อโจทก์ใช้ตราสารสัญญากู้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีแพ่งไม่ได้ ก็เท่ากับว่าโจทก์ขาดหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไป ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” ที่โจทก์ฎีกาว่าเรื่องปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนหรือไม่ คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแต่ต้นศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจยกขึ้นมาวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์นี้ เป็นเรื่องที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ศาลยกขึ้นได้เอง
พิพากษายืน

Share