คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยเคยต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้งนั้นตามพ.ร.บ.กักกันฯ พ.ศ.2479หาได้บัญญัติไว้ว่ากระทำแต่เมื่อใด และพ้นโทษมาแล้วนานเท่าใด แต่ได้ถือเอาความผิดที่จำเลยกระทำครั้งที่ฟ้องเป็นหลักสำคัญส่วนความผิดในครั้งก่อนๆเพียงแต่เป็นเหตุเพื่อเพิ่มโทษกักกันอีกโสดหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นแม้จำเลยจะพ้นโทษครั้งสุดท้ายมาถึง 20 ปีแล้วก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ศาลอาจจะเพิ่มโทษกักกันได้
โทษกักกัน แม้จะมีถึง 10 ปีก็ไม่ใช่เป็นคดีมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปจึงไม่เข้าอยู่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 256 จำคุก 3 ปี ลดตาม มาตรา 59 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน เมื่อพ้นโทษแล้วให้ส่งตัวไปกักกันมีกำหนดสามปีตามมาตรา 8-9 พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาปรึกษาคดีแล้ว จำเลยต้องโทษมาแล้ว 2 ครั้ง ๆ แรกฐานลักทรัพย์จำคุก 4 เดือน พ้นโทษ 6 สิงหาคม 2460 ครั้งที่สองฐานปล้นทรัพย์จำคุก 6 ปี 14 วัน พ้นโทษ 4 พฤศจิกายน 2472 เห็นว่าแม้โทษ 2 ครั้งก่อน จำเลยกระทำมาก่อนวันใช้พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479 และพ้นโทษครั้งสุดท้ายมาจนถึงวันกระทำผิดคดีนี้ 20 ปีเศษแล้วก็ดีก็หาเป็นการขาดอายุความหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญดังจำเลยฎีกาไม่ เพราะตาม พระราชบัญญัติกักกันฯ การที่จำเลยต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้งนั้นหาได้บัญญัติไม่ว่ากระทำผิดแต่เมื่อใด และพ้นโทษมาแล้วนานเท่าใดแม้จะพ้นโทษครั้งสุดท้ายมาถึง 20 ปี ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ศาลอาจจะเพิ่มโทษกักกันได้ อนึ่งตามพระราชบัญญัติกักกันฯ ถือเอาความผิดที่จำเลยกระทำในคดีที่ฟ้องเป็นหลักสำคัญ ส่วนความผิดในครั้งก่อน ๆ เพียงแต่เป็นเหตุเพื่อเพิ่มโทษกักกันอีกโสดหนึ่งเท่านั้น และคดีนี้ก็หาเข้าอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ไม่เพราะไม่ใช่เป็นคดีมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป

จึงพิพากษายืน

Share