คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1516/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยถูก ส. ผู้เสียหายคนหนึ่งด่า จำเลยจึงกลับไปพาพวกมายังที่กลุ่มผู้เสียหายนั่งอยู่และตะโกนถามหาผู้ด่าจำเลยส. และพวกอีกคนหนึ่งจะเดินเข้าไปหาจำเลย จำเลยชักอาวุธปืนที่พกติดตัวออกมาจ้องสาดไปยังกลุ่มผู้เสียหายส. ซึ่งอยู่ห่างจำเลยประมาณ 2 เมตร ใช้เหล็กฉากขว้างจำเลยแต่ไม่ถูก ขณะนั้น พวกของ ส. พากันวิ่งหนีเอาตัวรอด จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงใน ลักษณะกราดไปมาป้องกันไม่ให้ใครเข้าหาจำเลยและไม่ให้ ส. กับพวกขว้างปาจำเลยอีก เช่นนี้ เหตุที่เกิดเพราะ ส. ไปด่าจำเลยก่อนซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ถึงกับจะเป็นสาเหตุให้จำเลยคิดฆ่าพวกผู้เสียหาย การที่จำเลยเอาอาวุธปืนจ้องไปทางกลุ่มผู้เสียหายก็เพื่อแสดงอำนาจให้พวกผู้เสียหายเกรงกลัว และที่จำเลยยิงก็เป็นการ ตอบโต้ที่ถูกฝ่ายผู้เสียหายด่าและป้องกันไม่ให้ส. กับพวกขว้างปาจำเลยอีก ขณะที่ยิง จำเลยก็อยู่ห่าง ส. ประมาณ 2 เมตรและห่างกลุ่มผู้เสียหายประมาณ 4 เมตร เท่านั้น กระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกเพียงนิ้วเท้าของ ส. ทั้งไม่ปรากฏว่า จำเลยยิงไปยังกลุ่มผู้เสียหายหรือในทิศทางที่กลุ่มผู้เสียหายวิ่งหนี พฤติการณ์ ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือพวกของผู้เสียหายจำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีและพาอาวุธปืนโดยฝ่าฝืนกฎหมายแล้วจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงพยายามฆ่าผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 91, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบหัวกระสุนปืนของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 แล้วลงโทษฐานพยายามฆ่าจำคุก 5 ปี ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือนรวมจำคุก 6 ปี 6 เดือน จำเลยเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานและนำสืบในชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี 4 เดือน ริบหัวกระสุนปืนของกลางจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ลดมาตราส่วนกึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท รวมกับโทษความผิดฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืน คงจำคุก 2 ปี และปรับ 2,000 บาทรอการลงโทษจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม2526 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ขณะที่นายสมศักดิ์ บรรเทาทุกข์นายประณต ปาลัคกุล นายอัมพร แซ่ตัน นายประสาท เนียมวิวัฒน์และนายสมควร สุภาพ ผู้เสียหาย นั่งดื่มสุราร่วมกันอยู่ที่ร้านค้ากลางซอยพิชัย 1 แขวงยานนาวา เขตยานนาวา กรุงเทพมหานครจำเลยได้พกพาอาวุธปืนสั้นพร้อมด้วยเครื่องกระสุนปืนซึ่งจำเลยมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เดินเข้ามายังที่พวกผู้เสียหายนั่งอยู่ แล้วจำเลยได้ใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวยิงประมาณ 5-6 นัด กระสุนปืนถูกปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางเท้าขวาของนายสมศักดิ์ ผู้เสียหาย ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรนั้นเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่จำเลยยิงปืนดังกล่าวนั้น จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่
“พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายสมควร สุภาพ ผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานโจทก์ว่า จำเลยกับพวกรวม 4 คน เดินเข้ามาหากลุ่มผู้เสียหายห่างกันประมาณ 4 เมตรจำเลยตะโกนว่า ใครด่ากูวะ นายประณต และนายสมศักดิ์ ผู้เสียหายจะเดินเข้าไปหาจำเลย แต่จำเลยชักปืนจากด้านหลังจ้องสาดไปยังกลุ่มผู้เสียหาย พวกผู้เสียหายพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด จำเลยยิงปืนลักษณะกราดไปมาป้องกันไม่ให้ใครเข้าหาจำเลย และตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ขณะที่จำเลยชักปืนออกมานั้น นายสมศักดิ์ ผู้เสียหายซึ่งอยู่ห่างจำเลยประมาณ 2 เมตร ได้ใช้เหล็กฉากขว้างจำเลยแต่ไม่ถูก จำเลยจึงได้ยิงเพื่อป้องกันไม่ให้นายสมศักดิ์กับพวกขว้างปาจำเลยอีก เห็นว่า เหตุที่จะเกิดเป็นคดีนี้มาจากนายสมศักดิ์ผู้เสียหายคนหนึ่งไปด่าจำเลยก่อน ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่เพียงพอที่จะเป็นสาเหตุให้จำเลยถึงกับจะคิดฆ่าพวกผู้เสียหาย การที่จำเลยเอาปืนมาจ้องไปทางกลุ่มผู้เสียหายก็เพื่อแสดงอำนาจให้พวกผู้เสียหายเกรงกลัว เป็นการตอบโต้ที่ถูกฝ่ายผู้เสียหายด่าเท่านั้น และที่จำเลยยิงปืนขึ้นก็ได้ความว่า จำเลยถูกนายสมศักดิ์ผู้เสียหายใช้เหล็กฉากขว้างใส่ก่อน เมื่อพิจารณาถึงว่ากลุ่มผู้เสียหายอยู่ห่างจำเลยประมาณ4 เมตร โดยเฉพาะนายสมศักดิ์อยู่ห่างจำเลยประมาณ 2 เมตรแต่กระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกที่นิ้วเท้าของนายสมศักดิ์ ประกอบกับคำเบิกความของนายสมควรพยานโจทก์ที่ว่า จำเลยยิงเพื่อป้องกันไม่ให้นายสมศักดิ์กับพวกขว้างปาจำเลยอีกพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ที่โจทก์ฎีกาว่าจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุของพนักงานสอบสวนพบรอยถูกกระสุนปืนที่โต๊ะอาหารและที่ฝาผนัง แสดงว่าจำเลยยกปืนยิงระดับเดียวกับพวกผู้เสียหายนั่ง จึงมีเจตนาฆ่า นั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายสมควร พยานโจทก์ว่า เมื่อจำเลยชักปืนจ้องสาดไปยังกลุ่มผู้เสียหายพวกผู้เสียหายพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด ดังนั้นขณะที่จำเลยยิงปืนไปที่โต๊ะอาหารพวกผู้เสียหายน่าจะออกจากโต๊ะนั้นไปแล้วส่วนรอยกระสุนปืนที่ฝาผนังนั้น ทางพิจารณาไม่ได้ความว่าอยู่ในระดับใดและในทิศทางเดียวกันกับที่พวกผู้เสียหายวิ่งหนีไปหรือไม่ จะฟังว่าจำเลยยิงปืนโดยมีเจตนาฆ่าพวกผู้เสียหายทีเดียวหาได้ไม่ เพราะรอยกระสุนปืนดังกล่าวอาจจะเกิดจากการยิงของจำเลยเพื่อแสดงอำนาจและข่มขู่พวกผู้เสียหายก็เป็นได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและลงโทษจำเลยไปนั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share