คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512-1515/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์กล่าวว่า จำเลยกับพวกสะสมกำลังเครื่องศาสตราวุธสมคบกันตระเตรียมการและพยายามก่อการขบถ ช่วยกันปกปิดความผิด ไม่นำความไปร้องเรียน และได้สมคบกันลงมือกระทำการขบถ ทั้งได้บรรยายรายละเอียดแห่งการกระทำของจำเลยไว้โดยชัดแจ้งแล้วย่อมเป็นฟ้องที่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 โจทก์ไม่จำต้องกล่าวเจาะจงจำเลยเป็นคนๆไปว่าผู้ใดกระทำอย่างใด ที่ไหนเวลาใดบ้าง
รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับเป็นหลักแห่งการปกครองพระราชอาณาจักรแต่ละฉบับย่อมมีบทบัญญัติแตกต่างกัน ราชประเพณีการปกครองย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามรัฐธรรมนูญนั้น การที่จำเลยนำเอารัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทยฉบับอื่นมาใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงราชประเพณีการปกครองพระราชอาณาจักร
รัฐบาลที่ได้ตั้งขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นได้เข้าครอบครองและบริหารราชการแผ่นดินด้วยความสำเร็จเด็ดขาดและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติตลอดมา เป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไปว่าเป็นรัฐบาลอันสมบูรณ์มาช้านานจนบัดนี้ ย่อมถือว่าเป็นรัฐบาลอันชอบด้วยกฎหมาย
พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ที่นำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2475 กลับมาใช้ในพ.ศ.2492 หาได้ใช้แก่ผู้ที่จะนำรัฐธรรมนูญฉบับอื่นมาใช้ไม่

ย่อยาว

คดี 4 สำนวนนี้ โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกับพวกสมคบกันกระทำการขบถในราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา101, 102, 63

จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธ และตัดฟ้องว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม และพิพากษาว่าจำเลย 11 คนมีความผิดตามมาตรา 101, 59 ประกอบกับมาตรา 38(2) ให้จำคุกคนละ 9 ปี ส่วนจำเลยอีก 16 คนให้ยกฟ้องปล่อยตัวไป

โจทก์และจำเลยที่ต้องโทษอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกพลตรีสมบูรณ์, ร.อ.ล้วนและนายประชุมจำเลย คนละ 9 ปี และยกฟ้อง ร.อ.เจริญจำเลย นอกนั้นยืนตาม

โจทก์และจำเลยที่ต้องโทษฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า

(1) ฟ้องของโจทก์หาว่าจำเลยกับพวกสะสมกำลังเครื่องศาสตราวุธสมคบกันตระเตรียมการและพยายามก่อการขบถ ช่วยกันปกปิดความผิดไม่นำความไปร้องเรียน และได้สมคบกันลงมือกระทำการขบถ ทั้งได้บรรยายรายละเอียดแห่งการกระทำของจำเลยไว้โดยชัดแจ้งแล้ว ฟ้องของโจทก์ย่อมเป็นฟ้องที่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 โจทก์ไม่ต้องกล่าวเจาะจงจำเลยเป็นคน ๆ ไปว่า ผู้ใดกระทำอย่างใด ที่ไหนเวลาใดบ้าง

(2) จำเลยกล่าวว่า การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในขณะนั้นแล้วนำรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 มาใช้แทน ไม่นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงราชประเพณีการปกครองพระราชอาณาจักร ศาลฎีกาเห็นว่ารัฐธรรมนูญแต่ละฉบับเป็นหลักแห่งการปกครองพระราชอาณาจักร แต่ละฉบับย่อมมีบทบัญญัติแตกต่างกัน ราชประเพณีการปกครองย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามรัฐธรรมนูญนั้น การที่จำเลยนำเอารัฐธรรมนูญฉบับอื่นมาใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงราชประเพณีการปกครองพระราชอาณาจักร

(3) จำเลยเถียงว่า รัฐบาลที่โจทก์หาว่าจำเลยกับพวกจะล้มล้างทำลายเป็นรัฐบาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเป็นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นจากรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลฎีกาเห็นว่ารัฐบาลที่โจทก์หาว่าพวกจำเลยทำลายนั้นเป็นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นคือรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 รัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ได้เข้าครอบครองและบริหารราชการแผ่นดินด้วยความสำเร็จเด็ดขาดและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติไว้ได้และตลอดมาเป็นที่ยอมรับนับถือว่าเป็นรัฐบาลอันชอบด้วยกฎหมายมาช้านานจนบัดนี้ไม่มีเหตุอันใดที่จะไม่ถือว่าเป็นรัฐบาลอันชอบด้วยกฎหมาย

(4) จำเลยเถียงว่า หากจะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นผิดจำเลยก็ได้รับนิรโทษกรรมตามพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ที่นำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 กลับมาใช้ใน พ.ศ. 2494ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมดังกล่าว หาใช่ใช้แก่จำเลยไม่ เพราะความจริงขณะเกิดเหตุ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490ยังใช้บังคับอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำเพื่อให้มีการเลิกใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 หาใช่เลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ไม่ การกระทำของจำเลยไม่เข้าข่ายได้รับนิรโทษกรรม

พิพากษาแก้ในข้อเท็จจริง ให้ยกฟ้องปล่อยตัว ร.อ.ล้วนและนายประชุมจำเลย นอกนั้นยืนตาม

Share