แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองที่บัญญัติว่า “เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย” หมายความว่า เมื่อศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงในคดีตามที่โจทก์และจำเลยต่างนำสืบแล้ว เห็นได้ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลจึงจะยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยมิใช่แต่เพียงว่าเมื่อข้อเท็จจริงตาม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาแตกต่างหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตาม พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบต่อสู้แล้ว จะให้รับฟังเลยว่าพยานหลักฐาน ของโจทก์มีเหตุสงสัยแล้วยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยเสียทีเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,940 เม็ด น้ำหนักรวม 178.570 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 28.152 กรัม ให้แก่สายลับและเจ้าพนักงานตำรวจผู้ล่อซื้อราคา110,000 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15,66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, (ที่ถูกมาตรา 15 วรรคหนึ่ง)66 วรรคหนึ่ง (ที่ถูกมาตรา 102 และประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83) จำคุกคนละ 25 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามและกึ่งหนึ่งตามลำดับคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 16 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีกำหนดคนละ 12 ปี 6 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 1ได้ร่วมกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาสรุปได้ว่า จำเลยที่ 1มิได้ร่วมเป็นตัวการกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำผิดตามฟ้องเพราะในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นำรถยนต์โดยสารปรับอากาศมาให้จำเลยที่ 2 ซ่อมปั๊มหัวฉีดเครื่องยนต์ที่ร้านใกล้ ๆ กับที่เกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 1 ก็กลับบ้านไปรวบรวมเงินมาเพื่อชำระค่าซ่อม เมื่อกลับมาที่รถยนต์ ในระหว่างที่ติดเครื่องยนต์ทดสอบจำเลยที่ 1 ลงจากรถยนต์ไปด้านท้ายเพื่อดูควันจากท่อไอเสียก็ถูกพนักงานตำรวจเข้ามาจับกุมกล่าวหาว่าร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่เคยรู้จักกับจำเลยที่ 3 มาก่อนเลย บันทึกต่าง ๆ ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.1 จ.2 จ.6 จ.7 และ จ.8 ที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นก็แตกต่างกันเป็นพิรุธไม่ได้ความว่าการครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางก่อนและขณะเกิดเหตุเป็นอย่างไร จำเลยที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่เอกสารดังกล่าวรวมทั้งเอกสารตามหมาย จ.9 ถึง จ.12 ได้จัดทำขึ้นโดยที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อโดยไม่สมัครใจ ทั้งถูกข่มขู่ให้รับสารภาพด้วย อันจะเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บ ตามรายงานการตรวจของแพทย์ เอกสารหมาย ล.2 ทั้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการนำสืบของโจทก์และของจำเลยทั้งสามเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ก็แตกต่างกันเป็นสามทางไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยที่ 1จะได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 โดยยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เสียนั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองที่บัญญัติว่า “เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย” หมายความว่า เมื่อศาลได้วินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงในคดีตามข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยต่างนำสืบสนับสนุนคำฟ้องและคำให้การของทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นได้ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลจึงจะยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลย คือฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องมิใช่แต่เพียงว่าเมื่อข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาแตกต่างหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบต่อสู้แล้ว จะให้รับฟังเลยว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุสงสัยแล้วให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยเสียทีเดียวดังเช่นที่จำเลยที่ 1 ฎีกาแต่อย่างใด”
พิพากษายืน