คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจะครบกำหนดแต่เมื่อโจทก์และจำเลยที่1ยังคงเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไปโจทก์จึงมีสิทธิครอบครองคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ หลังจากสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเลิกกันแล้วจำเลยที่1ยังมีภาระต้องชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้แก่โจทก์จึงต้องรับผิดดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ในสัญญาจะถือว่าไม่ได้ตกลงเรื่องดอกเบี้ยหาได้ไม่โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีได้เพียงแต่คิดทบต้นไม่ได้เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์กำหนดชำระคืนภายใน 12 เดือน ให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนหากผิดนัดยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ โดยมีจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันรวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวนไม่เกิน 6,220,000 บาท หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ได้เดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์เรื่อยมาเมื่อหักทอนบัญชีกันปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์3,174,972.84 บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระโจทก์คิดดอกเบี้ยอย่างไม่ทบต้นในเงินต้นดังกล่าวจนถึงวันฟ้องรวมเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งสิ้น6,305,409.06 บาท ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน3,179,972.84 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คนละ6,220,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีท้ายฟ้องปิดอากรแสตมป์ไม่ชอบบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้องไม่มีการหักทอนทางบัญชีต่อกันจึงไม่ใช่บัญชีเดินสะพัด โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น ข้อตกลงที่ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจึงเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน6,305,409.06 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 3,174,972.84 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ร่วมรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ในวงเงินคนละไม่เกิน 6,220,000 บาท
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 655 วรรคสอง บัญญัติว่า “ส่วนประเพณีการค้าขายที่คำนวณดอกทบต้นในบัญชีเดินสะพัดก็ดี ในการค้าขายอย่างอื่นทำนองเช่นว่านี้ก็ดี หาอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติซึ่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไม่” โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ให้จำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีจากบัญชีกระแสรายวันที่จำเลยที่ 1 มีอยู่กับโจทก์ ซึ่งตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นกับจำเลยที่ 1 หาเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคแรกไม่แม้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจะครบกำหนด แต่เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังคงเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไป โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี หลังจากสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเลิกกันแล้วโจทก์ก็ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี เพียงแต่คิดทบต้นไม่ได้เท่านั้นเพราะจำเลยที่ 1 ยังมีภาระที่ต้องชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี จะถือว่าไม่ได้ตกลงเรื่องดอกเบี้ยหาได้ไม่ โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีและในอัตราที่ต่ำกว่าร้อยละ 18 ต่อปี จึงเป็นอัตราที่ระบุไว้และต่ำกว่าอัตราระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโจทก์จึงมีสิทธิคิดเช่นนั้นได้
พิพากษายืน

Share