แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีหาว่ามีฝิ่นไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแม้โจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าฝิ่นของกลางเป็นของใคร แต่โจทก์มีพยานสืบว่าฝิ่นของกลางถูกซุกซ่อนไว้ในตู้เก็บอาหารแห้งในเรือสินค้าต่างประเทศ ประกอบกับเมื่อค้นฝิ่นแล้ว ผู้ค้น ตำรวจและผู้สอบสวนสอบถามจำเลยถึง 3 ครั้ง 3 หนแต่จำเลยก็รับว่าเป็นฝิ่นของตนต่อหน้ามูลนายของจำเลยทั้งยังเขียนคำรับเป็นภาษาจีนและแสดงวิธีเอาฝิ่นไปซุกซ่อนไว้ให้ดูโดยถอดกระดานฝาตู้ชั้นในออกเอาฝิ่นซุกไว้แล้วปิดฝาอย่างเก่า สมกับเป็นผู้เอาฝิ่นไว้เองทั้งจำเลยเป็นผู้ครอบครองตู้ๆ นั้น มีกุญแจ จำเลยเป็นผู้รักษากุญแจเอง พฤติการณ์เหล่านี้ฟังประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนคดีฟังได้ว่าจำเลยมีฝิ่นไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติฝิ่น 2472 มาตรา 53พระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 6) 2494 มาตรา 6
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติฝิ่น 2472 มาตรา 53 พระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 6)2494 มาตรา 6 จำคุก 3 ปี ปรับ 10 เท่าราคาฝิ่นเป็นเงิน 2,142,000บาท ลดรับ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี ปรับ 1,428,000 บาท ไม่เสียค่าปรับจำแทน 1 ปี ตาม มาตรา 18 ฝิ่นของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฝิ่นของกลางจับได้ในเรือสินค้าต่างประเทศซึ่งซุกซ่อนไว้ด้านหลังตู้เก็บอาหารแห้งในห้องนอนของลูกเรืออยู่รวมด้วยกันทั้งจำเลยรวม 5 คน ฝ่ายโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าแต่จำเลยเป็นผู้นำฝิ่นของกลางมาซุกซ่อนไว้ คงมีแก่คำรับชั้นสอบสวนโดยลำพังฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ ทั้งคดีนี้ก็มีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปีขึ้นไป แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ยังต้องฟังคำพยานโจทก์เบิกความประกอบ แต่คำพยานโจทก์ฟังลงโทษจำเลยไม่ได้พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ฝิ่นของกลางให้ริบ
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว เห็นว่าแม้คดีนี้โจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าฝิ่นของกลางเป็นของใครใครนำไปซุกซ่อนไว้ในตู้นั้น แต่โจทก์มีพยานว่าเมื่อค้นพบฝิ่นแล้วจำเลยรับถึง 3 ครั้ง3 หนครั้งแรกกับผู้ค้นฝิ่น ครั้งที่ 2 ต่อหน้าตำรวจต่อหน้ามูลนายของจำเลยและจำเลยเขียนคำรับเป็นภาษาจีนด้วยตนเอง ครั้งที่ 3 กับผู้สอบสวน ประกอบทั้งยังแสดงถึงวิธีเอาฝิ่นไปซุกซ่อนไว้ให้ดูโดยการถอดกระดานฝาตู้ชั้นในออกเอาฝิ่นซุกไว้แล้วจึงเอาฝาปิดอย่างเก่าสมกับเป็นผู้เอาฝิ่นไว้เองทั้งจำเลยเป็นผู้ครอบครองตู้นั้นมีกุญแจและจำเลยเป็นผู้รักษากุญแจเอง ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยได้ทำผิดตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยมานั้นถูกแล้ว จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ