คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกล่าวหาว่าบิดาโจทก์ยักยอกไม้. เพื่อระงับข้อพิพาท โจทก์ผู้เป็นบุตรได้เข้าทำสัญญาแทนบิดายอมส่งไม้ให้จำเลย โดยจำเลยจะชำระเงินค่าไม้. โจทก์จึงตกอยู่ในฐานะเป็นคู่กรณีกับจำเลย สัญญานี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ. ตามสัญญาโจทก์จำเลยมีหน้าที่ชำระหนี้ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน ครั้นเมื่อโจทก์ส่งไม้มาตามสัญญา ไม้เสื่อมคุณภาพเพราะความผิดของโจทก์ที่ชักลากไม้ล่าช้า การชำระหนี้จึงกลายเป็นไร้ประโยชน์แก่จำเลย. เมื่อจำเลยบอกปัดไม่รับมอบไม้ถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาแล้ว. โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยรับไม้และชำระเงินไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2508 โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า เมื่อโจทก์นำไม้จำนวน 348 ท่อนมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์ไม้ให้จำเลย และจำเลยจะจ่ายเงิน 58,000 บาทให้โจทก์ทันที โจทก์ได้นำไม้มาถึงตามสัญญาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2508 โจทก์ขอให้จำเลยชำระเงินและรับโอนกรรมสิทธิ์ไม้ จำเลยเพิกถอนขอให้ศาลบังคับ จำเลยให้การว่าจำเลยออกเงินให้นายประจวบเป็นผู้แทนจัดทำไม้มาให้จำเลย 500 ท่อนต่อมานายประจวบร่วมกับบิดาโจทก์ยักยอกไม้จำนวนนี้ จำเลยจึงอายัดไม้ไว้ และได้ทำการตกลงกับบิดาโจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นบุตรเข้าทำสัญญาในนามของโจทก์เอง ยอมส่งไม้ให้จำเลย หลังจากทำสัญญาแล้ว โจทก์ไม่รีบจัดการชักลากไม้มากรุงเทพฯ ทำให้ไม้เสื่อมคุณภาพและราคาตกไม่สมประโยชน์ของจำเลย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระเงินนั้น สัญญาท้ายฟ้องไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะโจทก์จำเลยไม่มีกรณีพิพาทกัน จึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาท้ายฟ้องเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะได้มีกรณีพิพาทเกิดขึ้นแล้วระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลย เมื่อโจทก์ยอมตนเข้ามาผูกพันแทนบิดาโจทก์ก็ตกอยู่ในฐานะคู่กรณีกับจำเลย จำเลยทำการชักลากไม้มาล่าช้าอันเกิดจากความผิดของโจทก์เอง ทำให้ไม้เสื่อมคุณภาพ เมื่อโจทก์จำเลยมีหน้าที่ชำระหนี้ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน จำเลยจึงมีสิทธิจะเลือกเอาว่าจะเลิกสัญญาหรือรับชำระหนี้โดยลดส่วนอันตนจะชำระหนี้ตอบแทนนั้นลง โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับจำเลยให้ชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนฟังได้ว่าจำเลยได้เลือกเอาการบอกเลิกสัญญา โจทก์ทราบแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมจำเลยกับบิดาโจทก์มีกรณีพิพาทกันเรื่องไม้ แต่แล้วก็ตกลงกันได้โดยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์ยอมตนเข้ามาเป็นคู่สัญญาแทนบิดาโจทก์ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ยอมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่แทนบิดา จึงต้องผูกพันโจทก์ ศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2508โจทก์ชักลากไม้มาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2508 รวมเวลา 45 วัน ทำให้ไม้เนื้ออ่อนแช่อยู่ในน้ำเสื่อมคุณภาพ ความล่าช้าเพราะความผิดของโจทก์เอง โจทก์ในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้คือไม่ส่งมอบไม้ทั้งหมดแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าหนี้ภายในเวลาที่ตกลงกันการชำระหนี้จึงกลายเป็นไร้ประโยชน์แก่จำเลยจำเลยก็ได้แสดงเจตนาบอกปัดไม่รับมอบไม้ทั้งหมดจากโจทก์ ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้รับไม้และชำระเงินแก่โจทก์ พิพากษายืน.

Share